จากกรณีเมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 5 มิถุนายน 2568 เกิดเหตุผู้ต้องหาชาวจีนนายหลี่เจี่ยน กระโดดหนีจากห้องสอบสวนชั้น 2 ของสถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา ขณะเจ้าหน้าที่กำลังสอบปากคำในคดีฉ้อโกง ส่งผลให้มีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ออกไล่ล่าผู้ต้องหารายนี้ต่อเนื่องนานกว่า 17 ชั่วโมง
กระทั่งเวลา 19.50 น.ของวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองจันทบุรี สามารถติดตามจับกุมนายหลี่ ได้ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองจันทบุรี หลังพบว่าเจ้าตัวได้ว่าจ้างรถแท็กซี่ในราคา 4,000 บาทหลบหนีออกจากพัทยา มุ่งหน้าสู่จันทบุรี
ต่อมาเมื่อเวลา 00.09 น.วันที่ 6 มิถุนายน พ.ต.อ.เอนก สระทองอยู่ ผู้กำกับการสภ.เมืองพัทยา พร้อมด้วยชุดสืบสวน ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหากลับมายังสภ.เมืองพัทยาอีกครั้ง โดยนำตัวขึ้นไปสอบปากคำเพิ่มเติมที่ห้องสอบสวนชั้ น 3 ซึ่งนายหลี่ มีท่าทางเคร่งเครียดและมีอาการเหนื่อยหอบชัดเจน
การหลบหนีครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ได้นำตัวนายหลี่ มาลงบันทึกประจำวัน และพาขึ้นไปยังห้องสอบสวน เพื่อให้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยกับผู้เสียหายซึ่งเป็นเพื่อนกัน โดยมีล่ามร่วมในการพูดคุยด้วย นายหลี่ ได้ขอโทรศัพท์เพื่อพูดคุยกับเพื่อน อ้างว่าจะให้หาทนายให้ ระหว่างช่วงที่เจ้าหน้าที่เผลอ นายหลี่ ได้กระโดดออกทางหน้าต่างชั้น 2 หลบหนีออกจากโรงพักทันที
ร.ต.ท.เกรียงไกร แก้วพิภพ รองสารวัตรสอบสวน ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุได้พยายามวิ่งไล่ตาม และกระโดดลงจากหน้าต่างเช่นกัน แต่ได้รับบาดเจ็บจากการกระแทกกับเก้าอี้ปูน จึงวิ่งตามต่อได้อย่างยากลำบาก และไม่ทันผู้ต้องหา
จากการสืบสวนพบว่า หลังหลบหนีนายหลี่ ใช้เส้นทางลัดเลาะไปตามซอยต่างๆในเมืองพัทยา โดยใช้รถโดยสารสาธารณะหลากหลายรูปแบบ ทั้งรถสองแถว วินจักรยานยนต์ และรถโบล์ท ก่อนจะไปลงที่ปั๊มบางจากพัทยาเหนือ และว่าจ้างแท็กซี่ต่อไปยังจันทบุรีในราคา 4,000 บาท และเข้าพักในโรงแรมที่ใช้หลบซ่อนตัวกระทั่งถูกรวบตัวในที่สุด
พ.ต.อ.เอนก ระบุว่า หลังเกิดเหตุผู้บังคับบัญชาระดับสูงไม่ได้นิ่งนอนใจพร้อมกำชับให้มีการตรวจสอบมาตรการควบคุมตัวผู้ต้องหาอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้นและแสดงความห่วงใยต่อเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว
สำหรับนายหลี่ ขณะนี้ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงและข้อหาหลบหนีจากการควบคุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นอกจากนี้ยังพบว่าเคยมีประวัติลักทรัพย์นาฬิกาหรูมูลค่าหลายแสนบาทในพื้นที่สน.มักกะสัน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีเพิ่มเติม
คดีนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการทบทวนมาตรการควบคุมตัวผู้ต้องหาและการบริหารความปลอดภัยภายในสถานีตำรวจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลักษณะเดียวกันในอนาคต