กวาดเมฆ “ความมหัศจรรย์ของชีวิต...คือความบิดเบี้ยวอันลี้ลับ”
GH News June 07, 2025 08:04 AM

ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“..เราต่างตื่นขึ้นมาพบกับ พื้นฟ้าแห่งอัศจรรย์อันกว้างใหญ่..บ้างเป็นรอยเลื่อนของความสุขสมหวัง และ บ้างก็เป็นการเคลื่อนตัวของความล่มสลายอันยากจะแก้ไข..ท่วงทำนองของชีวิตอันจริงแท้เป็นเช่นนี้..เหมือนจะเข้ารูปเข้ารอย..แต่ก็กลับเต็มไปด้วยอุปสรรคที่ทั้งเปิดเผยและลี้ลับที่ผลัดกันเข้ามาโถมทับจนรูปทรงปกตินานาต้องบิดเบี้ยวไป..เกินกว่าจะควบคุม ..

บทบาทแห่ง..ภาพสะท้อนการดำรงอยู่ของชีวิตคนเรามักเป็นเฉกเช่นนี้..ดุจดั่งมวลเมฆบนเวิ้งฟ้าที่กระจัดกระจาย..และรอใครสักคนได้มองเห็น..ก่อนที่จะเก็บกวาดมัน..ให้ผสานกลมกลืนกับลมหายใจแห่งชีวิต..กระทั่งกลายเป็น “จักรวาลนฤมิต”..เหนือความจริงและความหมายนานา”

นี่คือปฐมบท..ทางความคิดที่ได้รับจากผัสสะของการอ่าน..รวมบทกวีเล่มหนึ่งที่ตอกย้ำถึง..เบ้าหลอมของชีวิต..อันยึดโยงอยู่กับ “แก่นแห่งสัมผัสรู้ภายใน” ..ที่ทั้งร้อนรุ่ม และ เยียบเย็นระคนกัน..เป็นพายุความรู้สึกที่พัดต้องอารมณ์อันไหวสะท้าน..กวาดเก็บพันธกิจระกำใจให้พ้นไปจากห้วงเหวของชะตากรรมอย่างแยบยลและล้ำลึก “ยิ่งใคร่ครวญก็ยิ่งจะค้นพบ”!..ลีลา และ ภาษา ตลอดจนไวยากรณ์..ดั่งท่วงทำนองของคาราโอเกะ.. “เห็นภาพได้ยินเสียง..ได้ยินเสียงในเห็นภาพ”..

“กวาดเมฆ” ..ฝีมือการออกแบบสู่ประพันธกรรมของ “บรรทัดไม้” ...คือวรรณลีลาในนามของบทกวีอันแปลกต่าง  โยงใยกับธรรมชาติ และ ชวนติดตามเพื่อการตีความอย่างพลิกรูปรอยเล่มนี้ ..!

“..ก่อรูปเพียงสุนทรียะก่อร่างผสานสิ่งใหม่/พยัคฆ์คำรามก้องเร่าร้อนปรารถนา/ความเงียบรักษาดนตรีไว้ในน้ำเดือด/ทิวสนลู่ลม/ก้อนเมฆคลี่คลายทุกอย่างเข้าด้วยกัน”

“ทัศนีย์รมย์” ในหนังสือเล่มนี้ประกอบสร้างขึ้นด้วยกลุ่มถ้อยคำที่ล้นหลั่งออกมาจากความรู้ในส่วนกระทบภายใน..บิดร่างสำนึกด้วยแรงกดดันอันส่องสะท้อน..วาววับ และ รายเรียง..!

“อาบน้ำหินแร่ สาโทสองถ้วยยามเสี้ยวจันทร์/น้ำชาเลี้ยงต้อนรับวนสวนแอปเปิล/เก้าอี้วางเรียงราย/คนเลี้ยงจามรีทักทายเด็กน้อยปรบมือ/แว่วเสียงขลุ่ยโค้งคารวะ กวาดเมฆใจผ่องใส/เงาทอดยาวปฐพี../”

ครั้นจิตใจผ่องใส การณ์ปรากฏในห้วงคิด จึงกอปรด้วยภวังค์อันมากหลายทั้งดำดิ่ง ทั้งเคลือบฉาบ เป็นมนตราส่วนตัวของกวี..ที่ค้นพบได้เองในเชิงสำนึกแห่งประสบการณ์..ด้วยเฉดสีแห่งประกายใจและธารสำนึก..

“บนเฉดสี..ดวงตารับรู้โลกของทั้งมากมายเกินกว่ากุหลาบ/ระวังมือมนุษย์! ดวงจันทร์สะท้อนน้ำ/แทบลืมสนิท/ว่างเปล่า ไม่ยึดติด”

การจดจารการว่างเปล่าไม่ยึดติดเอาไว้กับกาย..ย่อมเห็นความต่างที่ผุดพรายขึ้นมาสู่ชีวิตอาจจะไม่ซับซ้อนอะไร..แต่ก็จำเป็นต้องตีความต่อหน้าในทุกครั้งที่ชีวิตต้องเข้าไปเฉียดใกล้..!

“..กล้าตกหลุมรักบางสิ่งบางอย่าง แก่แล้วแก่เลย/ไปตามเส้นทางของดวงจันทร์/ไปตามเส้นทางของดวงดาว/ไปตามเส้นทางของดวงอาทิตย์/คนรักคนเดียวก็เพียงพอ..”

“ผลงานของ” บรรทัดไม้ คือ ท่วงทำนองของ “แคนโต้” กวีนิพนธ์ตอบสนองและรับใช้ใจอันบริสุทธิ์ของผู้เป็นกวี..เปรียบเปรย..วิพากษ์วิจารณ์ และยอมรับในเบื้องลึกแห่งเจตจำนงนั้นๆ..

“สายฝน ต้นไม้ บ้าน/แม่น้ำความรัก/หญิงสาวกางร่มคอยเรือข้ามฟาก/ดอกกุหลาบไม่ทันเอ่ยลาหยดน้ำค้าง/ถ้าไม่ใช่ดวงอาทิตย์ลุกโชนคงเป็นดาวส่องแสง/คนซ่อมรถให้กวี/คล้ายโลกคนใบ้คล้ายโลกหูหนวกในจักรวาล/แคนโต้”..

จากจุดนี้..เราก็พอจะสังเกตเห็นพฤติกรรมของมนุษย์กับวลีความของธรรมชาติได้ว่ามันมีโครงสร้างร่วมกันอยู่เสมอ เป็นเนื้อในอันบริสุทธิ์ของความคิด และเป็นปฏิกิริยาภายในอันเร้นซ่อนที่ต้องตีความกันให้บรรลุคำตอบอยู่เสมอ..!

“ก้อนเมฆคุยกันผ่านต้นไม้คนคุยผ่านตัวหนังสือ/นักเดินทางสายน้ำ/ซ่อนมะม่วงเดือนธันวา/หลายเรื่องชวนให้คิดถึง..!”

ภาวะ..โดยรวมของบทกวีชุดนี้โอบประคองไปด้วยภาวะ “ไหวความรู้สึก”..ให้ความสำคัญซึ่งให้ความสำคัญแก่การแสดงความรู้แห่งการร่ำระบายออกมาอย่างสุดขั้วในฐานะแห่งการเป็นตัวกลางที่นำไปสู่สัจธรรม ..ภาวะดังกล่าวนี้จะต่อต้านทั้งเหตุผลและสัจธรรมแห่งเหตุผลต่างๆที่ตั้งกันไว้..เป็นประสบการณ์ที่ทั้งอยู่ใต้และเหนือ..สามัญของความเป็นชีวิตา..

“ส้มโอหวานเปรี้ยวกำลังดี/เปิดวิทยุคั่นโฆษณา/ทุกเช้าคือบ้านพักชั่วคราว/โลกซื้อขายดวงจันทร์เป็นหลาๆ แขวนเสื้อรูปเงา/...นกนางแอ่นขานรับฤดูกาลใหม่/ท้องฟ้ากับแม่น้ำ/ความอ่อนแอปีล่าสุดตั้งแต่วัยเยาว์ เช่นนั้นแล้วไม่ควรประมาท/แจกันใบสวยแค่จับวาง/ไยต้องพยายาม..”

..ความเปรียบในรวมบทกวีชุดนี้..มองดูและสัมผัสได้ด้วย “หลายแฉก” ความคิด...เรียบง่ายแต่แฝงเร้น  แฝงเร้นจนต้องตีความใหม่ หรือบิดเบี้ยวทางกลไกกระทั่งต้องเรียนรู้ในรู้สึกอย่างจริงจัง..

“..ไหวทันเหตุการณ์เหมือนนกรู้/โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป/เสียงตกปลาใสบริสุทธิ์ได้ยินมา/วงกลมละติจูดขอลาสก้ารอบกายเต็มไปด้วยสีขาว/ไม่อาจรู้ใต้รู้เหนือ/คงอึดอัดมากกว่าถ้าไม่ได้พูด/ธรรมชาติถูกทำลายกลายเป็นรูปทรง”

โดยส่วนตัว..ผมเชื่ออยู่เสมอว่า..ทั้งหมดทั้งสิ้นในการตระหนักรู้แห่งบทกวี..ย่อมคือ"ส่วนผสานอันแยบยลและผลกระทบทางจิตวิญญาณที่สื่อผ่าน บทกวีแห่งธารสำนึก จากน้ำคำสู่น้ำคำ..จากถ้อยสำนึกสู่ภาวะสำนึก..ไม่ว่าจะเป็นความอ้างว้างหรืออารมณ์ร่วม..หรือแม้แต่ความเกลียดชังในตัวตนของตน..!

.. การย้ายบ้านสำหรับผู้สูงอายุเป็นสิ่งที่น่ากลัว/พวกเขาจะสงสัยบ้านฉันอยู่ไหน/หันหน้าเข้าหากำแพงไม่มีที่ไหนต้องไปอีก/

  *ความงามในความโดดเดี่ยว/จิตรกรวาดรูป/ช่างภาพถ่ายรูป/กวีเขียนบทกวี*

..เราต้องยอมรับร่วมกันว่า..ในโลกแห่งการมีชีวิตอยู่ร่วมกันนี้..มีท่าทีแห่งความเป็นเขาและเป็นเราที่คลุมเครือยิ่งนัก และมีอยู่บ่อยครั้ง ที่เราจะต้องตอบโต้กับอาการเชิงขัดแย้งและยากจะควบคุมของตัวเอง..ได้อย่างไม่ค่อยจะลงตัวนัก ซึ่งนั่นก็คือการติดบ่วงอยู่กับตัวเองและตนเอง..อย่างมากล้นจนยากจะสลัดหลุด..จนกระทั่งเมื่อเราค้นพบและประจักษ์ในความคิดที่จะเก็บกวาดสัมภาระอันรกเรื้อแห่งชีวิตนี้ได้หมด..เราถึงจะโปร่งโล่งและเป็นไทอย่างอัศจรรย์..ในตัวตน..นิรันดร์..!

"เมื่อฉันเป็นเด็ก.. ความมหัศจรรย์ของชีวิตคือความบิดเบี้ยวอันลี้ลับ จ้องดูระลอกคลื่นพลิ้วไหวในผืนน้ำ 25 วินาที เสียงตอกตะปูแขวนภาพนั้นไว้..!”

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.