เหตุการณ์ปะทะชายแดนบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ระหว่างทหารไทยและกัมพูชาเมื่อไม่นานนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของสถานการณ์ชายแดน และทำให้สังคมหันมาสนใจบทบาทของ "กำลังพลสำรอง" มากขึ้น โดยเฉพาะในยามเกิดภาวะสงครามหรือภัยคุกคามทางทหาร
แล้วใครบ้างที่อาจถูกเรียกตัวกลับเข้าประจำการ? มีกระบวนการอย่างไร? และต้องเตรียมตัวแบบไหน?
จากระเบียบของกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม สรุปข้อมูลสำคัญ ดังนี้
หมายถึงผู้ที่เคยผ่านการฝึกทหารและปลดประจำการแล้ว แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก:
1. นักศึกษาวิชาทหาร (ร.ด.) ที่สำเร็จการฝึกตั้งแต่ปี 3 ขึ้นไป
2. ทหารเกณฑ์ ที่ปลดประจำการเมื่อครบกำหนดตามกฎหมาย
เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง เช่น สงครามหรือความไม่สงบ กระทรวงกลาโหมสามารถประกาศ "ระดมพล" เพื่อเรียกตัวทหารกองหนุน โดยขั้นตอนคือ:
1. ผู้บังคับการจังหวัดทหารบก แจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด
2. ออกหมายเรียกพล (ตพ.15) ส่งตรงถึงตัวบุคคล
3. ผู้ถูกเรียกต้องไปรายงานตัวตามสถานที่และเวลาที่กำหนด
เรียกตามอายุจากน้อยไปมาก แบ่งเป็น 3 ชั้นหลัก:
ชั้นที่ 1: อายุต่ำกว่า 30 ปีบริบูรณ์
ชั้นที่ 2: อายุ 30 ปีบริบูรณ์ – ไม่ถึง 40 ปี
ชั้นที่ 3: อายุ 40 ปีบริบูรณ์ – ไม่ถึง 46 ปี
ผู้ที่อายุเกิน 46 ปี ถือว่า พ้นกำหนดการรับราชการทหาร และจะไม่ถูกเรียกตัวอีก ยกเว้นกรณีพิเศษ
การเรียกตัวจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น:
- ความต้องการกำลังเฉพาะทาง เช่น แพทย์, วิศวกร, หน่วยรบ
- ความพร้อมด้านสุขภาพและร่างกาย
- ภูมิลำเนาและสถานการณ์ในพื้นที่
- สถานะครอบครัว หรือข้อยกเว้นเฉพาะราย (บางกรณีขอผ่อนผันได้)
กำลังพลสำรองยังคงเป็นกลไกสำคัญในการเสริมความมั่นคงของประเทศ ผู้ที่อยู่ในสถานะนี้จึงควร:
- ติดตามข่าวสารจากหน่วยงานความมั่นคง
- ตรวจสอบสถานะตนเองในระบบทหาร
- รู้สิทธิ หน้าที่ และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- เตรียมเอกสารสำคัญ เช่น หมายเรียกพล, ใบปลดประจำการ ฯลฯ