ชาวบ้านซื้อเครื่องตรวจเอง พบน้ำสายสีชานมมีสารหนูตึม นักวิชาการจี้ ‘ธีรรัตน์’ เร่งแก้ปัญหา
GH News June 09, 2025 10:44 AM

ชาวบ้านซื้อเครื่องตรวจเอง พบน้ำสายสีชานมมีสารหนูตึม นักวิชาการจี้ ‘ธีรรัตน์’ เร่งแก้ปัญหา

เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีแม่น้ำสายชายแดนไทย-เมียนมา ด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีสีขุ่นข้นผิดปกติโดยบางวันกลายเป็นสีส้มเข้มคล้ายสีชานมทั้งๆ ที่ไม่มีฝนตกบริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา นั้น ล่าสุดน้ำกลับมามีสีขุ่นเหมือนเดิมแล้วแต่ได้มีชาวบ้านที่มีภูมิลำเนาใน อ.แม่สาย ได้หาซื้อเครื่องวัดคุณภาพน้ำภาคสนามหรือ TEST KIT ไปทำการตรวจคุณภาพน้ำเองโดยนำตัวอย่างน้ำบริเวณหัวฝาย ชุมชนถ้ำผาจม ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำสายไหลผ่านเขตประเทศไทยเป็นจุดแรกและบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 ผลปรากฏว่าพบค่าของสารหนูหรือ AS มากถึง 0.08 และ 0.06 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าค่ามาตรฐานที่ไม่ควรเกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร

ดร.สืบสกุล กิจนุกร สำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดเผยว่ากรณีการตรวจคุณภาพน้ำโดยใช้ TEST KIT นั้น ภาคประชาชนควรทำกันได้เองจนเป็นเรื่องปกติเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประชาชนโดยตรงและเครื่องตรวจในปัจจุบันก็หาได้ง่ายโดยมีคุณภาพดี ขณะที่การประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหา เช่น การประชุมศูนย์บริหารจัดการน้ำ (ส่วนหน้า) แต่ละครั้ง ฯลฯ ควรมีการถ่ายทอดสดให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลและความคืบหน้าเพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่และเป็นวาระของประชาชน และที่ผ่านมาหากต้องการดูข้อมูลย้อนหลังจะเป็นเรื่องที่ยากและต้องตามขอกันหลายขั้นด้วย

รายงานข่าวแจ้งว่า ในเวลา 10.00 น. วันที่ 9 มิ.ย.นี้ ศูนย์บริหารจัดการน้ำ (ส่วนหน้า) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ มีกำหนดจัดประชุม ณ ศาลากลาง จ.เชียงราย และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีการเชิญหน่วยงาน องค์กรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างหลากหลาย โดยให้เหตุผลของการประชุมว่าเพราะมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวกและแม่น้ำโขง จากแหล่งข่าวหลายช่องทางโดยข้อมูลข่าวสารบางอย่างมีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงซึ่งอาจส่งผลให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวลและไม่ใจต่อความปลอดภัยในการใช้น้ำ ลักษณะการประชุมจึงเป็นการชี้แจงข้อมูลเพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับทราบดังกล่าว

ขณะเดียวกันทาง ดร.สืบสกุล กิจนุกร สำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ยังได้มีจดหมายเปิดผนึกโดยมีเนื้อหาว่า “เรียน รมช.มท. #ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ผู้อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) ในพื้นที่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย เรื่องข้อเสนอแนะว่าด้วยการทำงานของศูนย์ส่วนหน้า ตามที่ท่านได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) ในพื้นที่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ต่อมาท่านได้เรียกประชุมไปแล้ว 1 ครั้ง โดยมีผลงานรูปธรรมคือการจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบน้ำของประชาชนด้วยชุด rapid test หรือ test kit ในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายจำนวน 4 จุด (เรื่องอื่นๆ ท่านก็คงสั่งการ แต่ ปชช.เห็นรูปธรรมคือจุดตรวจเท่านั้น) และท่านจะมีการเรียกประชุมอีกครั้งในวันที่ 9 มิถุนายน ที่จะถึงนี้ (อ้างอิงจากการรายงานของสื่อ The Reporters)

ในการนี้ ผมมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะต่อท่านเพื่อพิจารณา ดังนี้
1.รัฐบาลขาดความมุ่งมั่นแก้ปัญหาต้นเหตุที่แท้จริง นั่นคือเหมืองแร่ในต้นน้ำกก สาย และรวก โดยรัฐบาลยังขาดคนรับผิดชอบ ไม่มีแผนการดำเนินงานยุติสารพิษปนเปื้อนแม่น้ำ เนื่องจากรัฐบาลเลือกใช้มาตรการตั้งรับด้วยการก่อสร้างฝายดักตะกอนในแม่น้ำกกเท่านั้น ซึ่งมันจะยิ่งสร้างภาระทางงบประมาณและผลักภาระความเสี่ยงให้ประชาชนไม่รู้จบ ตราบจนกว่าเหมืองทั้งหมดจะถูกปิดอย่างถาวร ทั้งนี้การอ้างความซับซ้อนของปัญหาที่อยู่นอกเขตแดนประเทศ มิใช่เหตุผลที่รับฟังได้ของการขาดความมุ่งมั่นแก้ปัญหาที่ต้นตออย่างแท้จริง

2.รัฐบาลยังพิจารณาการแก้ปัญหาแม่น้ำกกเท่านั้น ถึงแม้ว่าผลการตรวจสอบสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานทั้งในแม่น้ำกก สาย รวก และโขง แต่รัฐบาลก็ยังคงมีมาตรการแก้ปัญหาเฉพาะแม่น้ำกกเท่านั้น ส่วนแม่น้ำสาย แม่น้ำโขงรัฐบาลยังไม่มีมาตรการแก้ปัญหา มิหนำซ้ำแม่น้ำรวกรัฐบาลยังไม่เคยตรวจหาสารโลหะหนักในแม่น้ำเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่การประปาส่วนภูมิภาคแม่สายใช้น้ำรวกเป็นแหล่งน้ำผลิตน้ำประปา และเกษตรกรใช้แม่น้ำรวกในการเกษตร

3.รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐให้ข้อมูลประชาชนแบบสะเปะสะปะ คลุมเครือ และกำกวม ส่งผลให้ประชาชนสับสนและขาดความเชื่อมั่นในข้อมูลจากรัฐบาลและภาครัฐ ยกตัวอย่างเช่น “แม่น้ำไม่อันตราย” “น้ำกกทำการเกษตรได้ แต่ควรหาแหล่งน้ำอื่น” “ปลารับประทานได้ แต่ต้องระมัดระวัง” “เขื่อนกรองสารพิษ” “แม่น้ำกกดีขึ้นเรื่อยๆ” เป็นต้น การสื่อสารประชาชนที่ขาดความชัดเจนเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลและภาครัฐทั้งหมด

4.รัฐผูกขาดการผลิตสร้าง “ความรู้” และ “ความจริง” ว่าด้วย “ความเสี่ยงข้ามพรมแดน” และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจเกี่ยวกับการตรวจหาสารโลหะหนักเพียงผู้เดียว ขาดการเปิดเผยข้อมูล ทั้งที่ภาครัฐมีขีดจำกัดในการตรวจหาสารโลหะหนักทั้งแบบเบื้องต้นและในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ทั้งที่ชุดตรวจแบบ rapid test หรือ test kit มีการพัฒนาและสามารถซื้อหาได้โดยทั่วไป และสถาบันการศึกษาหลายแห่งในประเทศไทยมีขีดความสามารถในการตรวจน้ำทั้งในแบบเบื้องต้นและในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ในด้านการเปิดเผยข้อมูลนั้น ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและข่าวสารการตรวจของภาครัฐอย่างยากลำบาก เนื่องจากภาครัฐมิได้ทำการเปิดเผยแผนการตรวจและผลการตรวจอย่างโปร่งใส

ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นองค์กรที่ต้องทำงานเกาะติดพื้นที่ และเชื่อมโยงข้อมูลไปยังคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ซึ่งมีท่านรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เป็นประธานอนุกรรมการ อันจะนำไปสู่การตัดสินใจระดับนโยบายต่อไป

อย่างไรก็ตามในฐานะ ผอ.ศูนย์ส่วนหน้า ท่านจะต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญสองประการคือ

ประการแรก “วัฒนธรรมระบบราชการแบบยึดติดและกลัว” (The Fix and Fear Culture of Bureaucracy)ที่เน้นการยึดติดกับกฎ ระเบียบ ข้อกฎหมายที่รัดรึงเอาไว้ และความกลัวที่จะถูก “ตำหนิ” จนทำให้ท่านไม่สามารถริเริ่มการเปลี่ยนแปลงใหม่ได้

ประการที่สอง ระบอบการสั่งการและควบคุมเชิงพื้นที่ (Spatially Oriented Command and Control Governmentality) ที่ให้ความสำคัญกับระบอบอำนาจสั่งการให้เชื่อฟัง ห้ามโต้แย้ง และแสดงให้เห็นว่าทุกอย่างในพื้นที่เป็นปกติภายใต้การนิยามของรัฐ

ผมเชื่อว่าท่านมีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ทางการเมืองและการบริหารมากพอที่จะสามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

ดังนั้นจึงมีข้อเสนอแนะคือ
1.การปิดเหมืองถาวรในเขตต้นน้ำคือทางแก้ไขปัญหาระยะสั้นและระยะยาว ผมขอให้ท่านกล้าหาญเลือกแนวทางการปิดเหมืองถาวร มากกว่าการปรับปรุงเหมืองให้ถูกต้องตามมาตรฐาน เนื่องจากการปิดเหมืองถาวรเป็นหนทางเดียวในการหยุดยั้งสารพิษทั้งหลายมิให้ปนเปื้อนลงในแม่น้ำกก สาย รวก และโขง หากธุรกิจเหมืองแร่คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชนพวกเขาคงดำเนินการป้องกันตั้งแต่ต้นแล้ว อีกทั้งมีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าหากนักลงทุนในกิจการเหมืองแร่มาจากประเทศจีนแล้ว พวกเขาคงลงทุนในประเทศเมียนมาเนื่องจากไร้กฎระเบียบและมาตรฐานทางด้านสิ่งแวดล้อมนั่นเอง พวกเขาจึงแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรบนเงื่อนไขที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น

2.ติดตามห่วงโซ่อุปทานแร่ เพื่อให้ธุรกิจเหมืองแร่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ท่านสามารถเริ่มต้นการระบุห่วงโซ่อุปทานแร่จากแร่ 2 ชนิดคือแร่ตะกั่วและแมงกานีสที่นำเข้าจากด่านศุลกากรแม่สายเป็นประจำมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อท่านสามารถระบุได้ว่ามีบริษัทใดเกี่ยวข้องในการนำเข้า การขนส่ง และปลายทางของแร่ ย่อมเป็นประโยชน์ในท่านสืบสาวไปยังบริษัทผู้ส่งออกจากประเทศเมียนมา แหล่งผลิตแร่ สารเคมี เครื่องจักรที่ว่ากันว่าส่งออกจากประเทศไทย และความเชื่อมโยงกับสารปนเปื้อนในแม่น้ำ การมีข้อมูลผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานแร่นำไปสู่มาตรการทางกฎหมายและธุรกิจที่ต้องรับผิดชอบต่อ สวล.และสิทธิมนุษยชนในท้ายที่สุด

3.เปิดเผยข้อมูลเหมืองแร่ที่มีในมือของรัฐบาลให้ประชาชนรับทราบ ในปัจจุบันรัฐบาลไทยและเมียนมาต่างยอมรับว่าเหมืองแร่เป็นต้นตอของสารโลหะหนักที่ปนเปื้อนแม่น้ำ ดังนั้นรัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องเปิดเผยจำนวนเหมืองแร่ ประเภทเหมืองแร่ บริษัทเหมืองแร่ เพื่อให้ ปชช.ได้มั่นใจว่ารัฐบาลมีข้อมูลในมือเพียงพอสำหรับดำเนินการเจรจาต่อรองกับประเทศจีน เมียนมา และกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ติดอาวุธในพื้นที่เหมืองแร่

4.สำรวจความเสียหายและเยียวยาประชาชนใน จ.เชียงใหม่ และเชียงราย ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสารพิษปนเปื้อน เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่ามีผู้เดือดร้อนแล้วอย่างน้อย 3 กลุ่ม ที่ต้องสูญเสียรายได้ กลุ่มแรกคือผู้ประกอบการร้านอาหารริมฝั่งแม่น้ำกกทั้งในเขต อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย พวกเขาต้องปิดกิจการเนื่องจากไม่มีผู้ใช้บริการ จนทำให้พวกเขาขาดรายได้และปิดกิจการ กลุ่มที่สองผู้ประกอบการท่องเที่ยวในบ้านรวมมิตรที่ขาดรายได้เนื่องจากไม่มีนักท่องเที่ยวไปใช้บริการ กลุ่มที่สามชาวประมงที่จับปลาเพื่อการบริโภคและจำหน่าย เมื่อมีคำสั่งห้ามลงสัมผัสน้ำโดยตรง และปลาป่วย พวกเขาจึงต้องงดการจับปลา ส่งผลให้พวกเขาขาดรายได้ ทั้งนี้รัฐบาลต้องเร่งประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจและมีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม

5.เพิ่มเติมพื้นที่ตรวจสารโลหะหนักในน้ำและตะกอนดินให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงทั้งหมด โดยมีพื้นที่เพิ่มเติมคือ 1) แม่น้ำรวก เนื่องจากเป็นสายน้ำที่การประปาส่วนภูมิภาคนำน้ำดิบผลิตน้ำประปา และเกษตรกรนำน้ำไปใช้ในการเกษตร 2) แม่น้ำโขงในเขตอำเภอเชียงของและเวียงแก่น จ.เชียงราย เนื่องจากกรมควบคุมมลพิษได้ตรวจพบสารหนูในเขต อ.เชียงแสนแล้ว ดังนั้นต้องมีการเฝ้าระวังด้วยการตรวจสอบแม่้น้ำโขงตลอดแนวที่อยู่ในประเทศไทยด้วย เพื่อให้ทราบว่าสารโลหะหนักได้ปนเปื้อนไปไกลเพียงใดแล้ว

6.เปิดแผนและผลการตรวจของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้มีความโปร่งใสทางข้อมูล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการทำงานเฝ้าระวังของภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสารโลหะหนักต้องเปิดเผยแผนการตรวจและเปิดเผยผลการตรวจ น้ำ ตะกอนดิน ห่วงโซ่อาหาร และสุขภาพ ให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยทั่วถึงและรวดเร็ว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเฝ้าระวังมีดังนี้
6.1 สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
6.2 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1 และกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
6.3 สำนักงานการเกษตร และสำนักงานการประมงจังหวัดเชียงรย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
6.4 การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงรายและแม่สาย
โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องข้างต้นสามารถดูตัวอย่างการเปิดเผยข้อมูลของสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ที่เผยแพร่ข้อมูลโดยละเอียดการตรวจไว้ที่เว็บไซต์และเฟซบุ๊กขององค์กร

7.สร้างศูนย์ตรวจสารโลหะหนักในน้ำ ห่วงโซ่อาหาร และคน ใน จ.เชียงราย เพื่อให้มีฐานข้อมูลเป็นของตัวเอง เนื่องจากในปัจจุบันการตรวจหาสารโลหะหนักต้องส่งไปตรวจยัง จ.เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ ทำให้ใช้เวลาในการตรวจค่อนข้างยาวนานเกินจำเป็น และทำให้ได้ข้อมูลไม่อัพเดต ส่วนศูนย์ตรวจของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1 ก็มีขอบเขตการตรวจที่จำกัดเฉพาะมากเกินไป ทั้งนี้สามารถจัดตั้งศูนย์ตรวจขึ้นในทั้งสามมหาวิทยาลัยท้องถิ่นของ จ.เชียงราย

8.ปรับการสื่อสารของภาครัฐให้มีความชัดเจน รัฐบาลและภาครัฐทั้งหมดต้องทำความเข้าใจใหม่ว่า ประชาชนต้องการให้มีการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา งดการใช้ถ้อยคำที่ทำให้เกิดความสับสน หรือตีความได้หลายทาง ประชาชนต้องการความชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น
8.1 ประชาชนควรหรือไม่ควรรับประทานปลาในแม่น้ำที่มีสารโลหะหนัก
8.2 ประชาชนควรหรือไม่ควรนำน้ำที่ปนเปื้อนสารโลหะหนักไปทำการเกษตร
8.3 ประชาชนที่ดื่มน้ำประปาจะมีสารโลหะหนักสะสมในร่างกายหรือไม่

9.สร้างพลเมืองวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม รัฐบาลต้องให้ความเคารพสิทธิของประชาชนตามหลัก Right to Know (สิทธิที่จะรู้) ที่รับประกันสิทธิของปัจเจกบุคคลและชุมชนทั้งในแง่กฎหมายและศีลธรรมในการเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สร้างผลกระทบต่อสุขภาพ ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นปชช.จึงมีสิทธิที่จะใช้เครื่องมือตรวจสอบสารโลหะหนักในน้ำเบื้องต้น ไม่ว่าเราจะเรียกเครื่องมือตัวนั้นว่า rapid test หรือ test kit ก็ตามที รัฐบาลต้องดำเนินการ ดังนี้
9.1 จัดการบรรยายให้ประชาชนเข้าใจถึงวิธีการตรวจสารโลหะหนักทั้งในระดับภาคสนามและระดับห้องปฏิบัติการ
9.2 ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดหาชุด test kit มาใช้ในการเฝ้าระวังสารโลหะหนักในน้ำประจำท้องถิ่น เพื่อให้ อปท.มีข้อมูลประกอบการวางแผนและตัดสินใจ
9.3 ส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาจัดให้มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับปัญหามลพิษข้ามพรมแดน สารโลหะหนัก และการใช้ชุด test kit

10.สร้างการมีส่วนร่วมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ รัฐบาลต้องสร้างกลไกให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนในการกำหนดทิศทางการแก้ไขปัญหา เนื่องจากปัญหามลพิษข้ามพรมแดนเป็นปัญหาในชีวิตประจำวันของประชาชน ดังนั้น ปชช.ย่อมมีสิทธิส่งเสียงได้ว่าต้องการให้รัฐดำเนินการ มิใช่เป็นเพียงผู้เข้าร่วมและรับรู้เท่านั้น

ขอแสดงความนับถือ
สืบสกุล กิจนุกร”

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.