ในสถานการณ์ที่สังคมกำลังเผชิญข้อมูลหลากหลายด้านเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของ “ปลาหมอคางดำ” สิ่งที่น่าเป็นห่วงไม่ใช่แค่ผลกระทบทางนิเวศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเคลื่อนไหวทางสื่อที่อาจละเมิดหลักพื้นฐานของความยุติธรรมอย่าง Presumption of Innocence หรือ “การสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์” เมื่อมีการใช้ภาพแทน ข้อมูลไม่ครบถ้วน หรือการชี้นำสังคมอย่างเข้มข้น จนอาจกลายเป็น Trial by Media หรือการตัดสินผ่านกระแสข่าว มากกว่าผ่านข้อเท็จจริงและกระบวนการทางกฎหมาย สังคมจึงจำเป็นต้องตั้งคำถามต่อทุกฝ่ายอย่างรอบด้าน เพื่อไม่ให้การปกป้องทรัพยากร กลายเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของผู้บริสุทธิ์เพียงเพราะ “เสียงดังและภาพสะเทือนใจ” แต่ควรคำนึงถึง"สิทธิในการตรวจสอบ" กับ "การละเมิดสิทธิของผู้อื่น” เป็นหลักการสำคัญ
หลัก "Presumption of Innocence" คนทั่วไปอาจจะไม่ได้รับทราบข้อมูลนี้ แต่หากเป็นคนที่เคยมีประสบการการณ์เรื่องคดีในลักษณะเดียวกับปลาหมอคางดำ คงเคยใช้หลักการนี้ในการต่อสู้มาบ้างแล้ว เพราะไม่ว่าใครจะถูกตั้งคำถามด้วยข้อสงสัยรุนแรงเพียงใด หากยังไม่มีการพิสูจน์ความผิดในกระบวนการยุติธรรม ย่อมมีสิทธิในความบริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นความผิดจริง การใช้ข้อความหรือภาพเพื่อชี้นำสังคมให้เชื่อว่าบุคคลหรือบริษัทหนึ่ง “ต้องรับผิด” ทั้งที่ยังไม่มีคำตัดสิน หรือแม้แต่ข้อเท็จจริงยืนยัน เป็นการละเมิดหลักการยุติธรรมขั้นพื้นฐานในสังคมประชาธิปไตย แม้หลักการนี้ไม่ค่อยมีคนพูดถึงแต่ก็เป็นหลักการที่ใช้ผู้ถูกกล่าวหาใช้ได้ปกป้องตัวเองได้
การใช้ภาพแทนที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ สะท้อนความเสี่ยงเชิงจริยธรรมในกรณีบริษัทเอกชนโดนฟ้องร้องว่ามีส่วนทำให้ปลาหมอคางดำแพร่ระบาดในธรรมชาติ ได้มีการนำเสนอภาพหรือข้อมูลบางชุดที่ขาดการอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์ที่ตรวจสอบได้ เช่น การใช้ภาพที่อ้างว่าเป็นฟาร์มที่ใช้เพราะเลี้ยงปลาหมอคางดำ และยืนยันว่าปลาที่ได้รับอนุญาตนำเข้าคือสายพันธุ์เดียวกันกับที่ระบาดในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยไม่สามารถแยกแยะสายพันธุ์อย่างแม่นยำจากปลาที่นำเข้าเมื่อปี 2549 หรือขาดการเปิดเผยผลตรวจทางพันธุกรรมที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานกลาง
นี่ไม่ใช่เพียงความคลาดเคลื่อนเชิงเทคนิค แต่สะท้อนถึง ความเสี่ยงที่องค์กรภาคประชาชนอาจละเลยมาตรฐานการสื่อสารทางจริยธรรม ซึ่งหากเกิดขึ้นซ้ำ จะย้อนกลับมาทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรเอง
อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ต้องตระหนักถึง คือ การทำให้ประเด็นข้อกล่าวหา “ถูกตัดสินโดยสื่อ” หรือ Trial by Media คือการใช้กระแสข่าว บทสัมภาษณ์ ภาพ หรือข้อความที่ออกแบบมาเพื่อโน้มน้าวความเชื่อของสาธารณะ โดยไม่มีการพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสิน “ทางสังคม” ก่อนที่สถาบันทางกฎหมายจะได้ตรวจสอบตามกระบวนการ
ในกรณีนี้ บริษัทเอกชนที่ถูกพาดพิง มีสิทธิเต็มที่ในการปกป้องชื่อเสียงของตนเอง ผ่านกระบวนการกฎหมาย เช่น การฟ้องร้องกรณีการใช้ภาพเท็จหรือการบิดเบือนข้อมูล ซึ่งต่างจากกรณี "ฟ้องปิดปาก" หรือ SLAPP ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผลเชิงข้อเท็จจริงหรือหวังให้ผู้วิจารณ์หยุดพูดโดยไม่ตั้งอยู่บนความถูกต้อง
คำถาม คือ ก่อนจะ "กล่าวหา" ผลักดันให้บริษัทต้องรับผิดทันที การเคลื่อนไหวเชิงสร้างสรรค์ควรตั้งอยู่บนหลักการ เช่น ตั้งคำถามอย่างมีหลักฐานรองรับ การเสนอทางแก้ปัญหาที่เป็นระบบ การสร้างพื้นที่กลาง ที่ประชาชน สื่อ และบริษัทสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันบนฐานของข้อเท็จจริง เช่น การเสนอให้มีแผนที่แสดงจุดแพร่กระจายของปลาหมอคางดำ, การเปิดเผย ข้อมูลทางพันธุกรรม และการรับฟังเสียงชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าเป้าหมายของการเรียกร้อง คือ การอนุรักษ์ ไม่ใช่การล้มล้างบริษัท
การตรวจสอบเป็นสิทธิของทั้งสองฝ่าย แต่ต้องตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงและจริยธรรม การตั้งคำถามสาธารณะต้องไม่ละเมิดสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา การเคลื่อนไหวที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง จึงต้องหลีกเลี่ยงการบิดเบือน และยึดมั่นใน Fact-Based Narrative หากไม่เป็นเช่นนั้น สังคมอาจเริ่มตั้งคำถามกลับไปยังผู้กล่าวหา ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไร และความโปร่งใสของพวกเขามีมากพอหรือไม่
โดย : ไศลพงศ์ สุสลิลา นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อม