ฝนตกอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ส่งผลให้น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำต่างๆเพิ่มขึ้น กรมชลประทานได้เก็บกักน้ำไว้ในอ่างฯอย่างเหมาะสม เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำในระยะต่อไป โดยคำนึงถึงพื้นที่ปลายน้ำและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนอย่างรอบด้าน

วันที่ 9 มิ.ย.68 ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน เปิดเผยว่า ปัจจุบัน (9 มิ.ย. 68) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศมีปริมาณน้ำรวม 43,246 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 57% ของความจุอ่างฯ รวมกัน ยังสามารถรับน้ำได้อีก 33,245 ล้าน  ลบ.ม. หรือ 43% เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวม 13,158 ล้าน ลบ.ม. หรือ 53% ของความจุอ่างรวมกัน ยังสามารถรับน้ำได้อีก 11,713 ล้าน ลบ.ม. หรือ 47% ภาพรวมสถานการณ์น้ำอยู่ในเกณฑ์ดี

สำหรับปริมาณน้ำไหลงลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่ต้นฤดูฝนวันที่ 1 พฤษภาคม – 9 มิถุนายน 2568 มีปริมาณรวมกันกว่า 3,800 ล้าน ลบ.ม. ส่วนสภาพน้ำท่าในแม่น้ำสายหลักต่างๆ ทางตอนบนของประเทศไทย ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ เฉพาะในส่วนของลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ จ.นครสวรรค์ แม่น้ำปิงบริเวณ อ.บรรพตพิสัย ระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่งประมาณ 4 เมตร แม่น้ำน่านบริเวณ อ.ชุมแสง ระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่งประมาณ 6 เมตร ก่อนจะไหลมาบรรจบกันที่แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณปากน้ำโพ ส่งผลให้ที่สถานี C.2 อ.เมืองนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 710 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม.ต่อวินาที) ระดับน้ำยังต่ำกว่าตลิ่งประมาณ 7 เมตร

ทั้งนี้ การเก็บกักน้ำเป็นไปตามแผนบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝนปี 2568 โดยพิจารณาจากปริมาณฝน พื้นที่รับน้ำ และความจุของอ่างเก็บน้ำแต่ละแห่ง เพื่อให้สามารถรองรับน้ำหลากและลดความเสี่ยงต่ออุทกภัยในพื้นที่ปลายน้ำ ควบคู่ไปกับการเตรียมพร้อมในการสนับสนุนการใช้น้ำในช่วงฤดูแล้งหน้าอย่างเพียงพอ ทั้งนี้ ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงฤดูฝน กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังคงติดตาม และเฝ้าระวังสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด รวมทั้งบริหารจัดการน้ำโดยใช้ระบบชลประทานอย่างเต็มศักยภาพ พร้อมกันนี้ ยังได้แจ้งประชาสัมพันธ์ข้อมูลสถานการณ์น้ำให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายของรัฐบาล