เมื่อเวลา 12.40 น. วันที่ 10 มิ.ย. 68 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า เรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทางรัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ในการคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้ง โดยมีการปฏิบัติงานร่วมกันและมีการพูดคุยในหลายภาคส่วน ซึ่งผลออกมาก็ค่อนข้างสงบเรียบร้อยดี ในระดับนโยบายรัฐบาลได้ให้ในพื้นที่ของหน่วยงานความมั่นคง กองทัพ และการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศตามกรอบความร่วมมือทวิภาคี ก็ได้คุยกันภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงการคุยกันระหว่างกระทรวงและทุกหน่วยงานทั้งไทยและกัมพูชา ซึ่งตนก็ได้มีการพูดคุยกับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ก็มีการประสานงานกัน มีการเจรจาเพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศชาติ และผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน ซึ่งลัพธ์ที่ออกมาเราสามารถเจรจากันด้วยสันติวิธี ทำให้ไม่มีการปะทะกันที่รุนแรง
นายกฯ กล่าวว่า โดยในระดับพื้นที่หน่วยงานความมั่นคงและกองทัพได้มีการประสานกับผู้นำเหล่าทัพของกัมพูชาในหลายครั้ง เพื่อที่จะพูดคุยเจรจาบริเวณชายแดน ซึ่งแต่ละหน่วยมีความคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ทำให้การพูดคุยเป็นไปด้วยดี ทั้งนี้สมเด็จฮุน เซน ได้มีการประสานงานส่งผู้บัญชาการเหล่าทัพ เพื่อมาขอความร่วมมือในการดำเนินการแก้ไขบริเวณที่มีการพิพาท ซึ่งได้มีการรายงานกับสมเด็จฮุน เซน เรียบร้อย ทำให้มีความเข้าใจกันมากขึ้น รวมถึงมีการปรับกำลังพลในพื้นที่ที่มีข้อพิพาทให้อยู่ในสถานการณ์ปกติ ส่วนบริเวณพื้นที่อื่นๆยังมีกำลังพลตามเดิม ทั้งนี้ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศได้เน้นย้ำในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) วันที่ 14 มิ.ย.นี้ โดยมีการคอนเฟิร์มในทุกระดับ ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ ระดับนายกรัฐมนตรี ขอยืนยันวันที่ 14 มิ.ย.นี้มีการประชุมเกิดขึ้นแน่นอน
นายกฯ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้กรณีที่กัมพูชามีความประสงค์จะส่งเรื่องไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก ทางรัฐบาลไทยขอยืนยันว่าไม่รับเขตอำนาจศาลโลก โดยที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการผ่านวิธีทางการทูต ซึ่งเป็นที่ยอมรับในเวทีสากลและมีผลลัพธ์ที่ดีมาโดยตลอด แน่นอนว่าเรื่องนี้บางครั้งไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณชนได้ เพราะเป็นการเคารพการพูดคุยในเรื่องของข้อมูลของทั้งสองประเทศ ตรงนี้เป็นสิ่งจำเป็นไม่สามารถรายงานได้ตลอด
นายกฯ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ได้มีการกำชับมาตรการชายแดนต่างๆให้มีการเปิด-ปิดตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ไม่ได้มีการปิดด่านถาวรตามที่มีข่าวลือออกมา เพราะทราบดีว่าพื้นที่ตรงนั้นมีการค้าขายระหว่างประเทศ ถ้าปิดด่านถาวรจะส่งผลเสียต่อประชาชน ฉะนั้นก็มีมาตรการรัดกุมในเรื่องของเวลาเปิด-ปิดด่าน และต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ได้มีส่วนในการเจรจราในครั้งนี้ เพราะช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตนได้พูดคุยกับหัวหน้าหน่วยทุกคนที่ได้มีรายงานตรงมายังตนตลอดเวลา ซึ่งบางอย่างตนไม่สามารถออกมาพูดได้ เพราะจะเกิดผลกระทบค่อนที่ข้างไม่ดี แต่มีบางข้อมูลที่เล็ดลอดออกไปก็ได้มีการบอกกับทางกัมพูชาและมีการตกลงกันได้ และเข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งก็ต้องขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนในเรื่องของการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง รวมถึงไม่ให้สร้างความแตกแยกภายในประเทศเพื่อให้เกิดความมั่นคงและสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนว่าเราจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยสันติวิธี รวมถึงทำให้ผู้ประกอบการในบริเวณดังกล่าวเกิดความมั่นใจตรงนี้เป็นสิ่งที่ตนเน้นย้ำ รัฐบาลขอยืนยันอีกครั้งการเจรจาทั้งหมดนี้ผ่านไปด้วยดี และขอเน้นย้ำว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นกับประชาชนอย่างแน่นอน
เมื่อถามว่า นายกฯให้ความมั่นใจได้ใช่หรือไม่ว่าจะไม่มีสงครามเกิดขึ้น น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “คะ” ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ามีความมั่นใจกับท่าที สมเด็จฮุน เซน แค่ไหน หลังออกมาโพสต์ข้อความที่มีนัยเชิงลบ การขยับกำลังไม่ได้เป็นการถอย เหมือนการนอนอยู่แล้วเปลี่ยนท่า น.ส.แพทองธาร ตอบว่า เราสื่อสารในเรื่องนี้ในลักษณะที่คล้ายกันหลายจุด เช่นคำว่าถอยทั้งสองฝ่ายก็ไม่อยากใช้คำนี้ เราใช้คำว่าปรับกำลัง เพราะเราปรับกำลังทั้งคู่ เป็นการให้เกียรติกันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่กัมพูชาอย่างเดียว แต่ของเราก็ปรับกำลังเช่นกัน การที่เขาบอกว่าพร้อมรับมือ เราก็พร้อมเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการปะทะในแบบไหน เราต้องเตรียมความพร้อมไว้ก่อน
เมื่อถามว่า ได้เห็นหนังสือที่มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ที่นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอให้รักษาอธิปไตย น.สแพทองธาร กล่าวว่า ยังไม่เห็นหนังสือ เพียงแต่ทราบว่ามีการมายื่น ทุกความคิดเห็นรัฐบาลรับฟังอยู่แล้ว สิ่งที่เราทำอยู่ทางกองทัพก็วางกำลังดูแลอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า อะไรคือประเด็นหลังในการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน และพล.อ.ฮุน มาเนต ที่ทำให้ท่าทีอ่อนลง น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ทั้งสองประเทศต้องการสันติวิธี และเราพูดคุยตามความจริงใจว่า เรามีความจริงใจแบบนี้ ไม่ต้องการเห็นคนทั้งสองประเทศมีปัญหากัน เราต้องการความสงบ ตอนนี้เราเร่งเครื่องเรื่องเศรษฐกิจมากกว่า ไม่อยากให้มาเป็นสนามรบหรืออะไร
เมื่อถามว่า หนึ่งในข้อเสนอคือการประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกให้เป็นสากล และยกเลิกเอ็มโอยู 43 เราจะหยิบยกเรื่องนี้มาพิจารณาหลังเกิดความขัดแย้งครั้งนี้เลยหรือไม่ น.ส.แพทองธาร ตอบว่า เราขอพิจารณาเป็นเรื่องๆไป เหมือนที่เรายืนยันกับทางกัมพูชาว่า เราขอโฟกัสที่เรื่องข้อพิพาทก่อน ไม่ใช่เอาทุกเรื่องมาปนกันหมด ไม่อย่างนั้นจะไม่ชัดเจนในแต่ละหัวข้อ แต่ทุกเรื่องที่มีปัญหาหรือว่ายังไม่จบ ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายบริหารต้องพิจารณาอยู่แล้ว เมื่อถามว่า พูดได้หรือไม่ว่ารัฐบาลแก้ที่ละปมที่ละจุด น.ส.แพทองธารตอบว่า ใช่ค่ะแก้ทีละปมทีละจุด