AIS-Gulf-JAS ชิงธงคอนเทนต์กีฬา ลิขสิทธิ์ไทยลีก-พรีเมียร์ลีก
KAO_DLIFE June 10, 2025 07:47 PM

สู่ยุคใหม่ ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีก และพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เปลี่ยนมือสู่ “AIS-Gulf-JAS” ผนึกกำลังทุ่มเม็ดเงินชิงธงสมรภูมิคอนเทนต์กีฬา คว้า 2 ลีกยอดนิยมแฟนบอลในไทย

สมรภูมิลิขสิทธิ์ฟุตบอลไทยเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง เมื่อสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ประกาศว่า บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ร่วมกับบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS คือ ผู้ชนะการประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีกทุกระดับแบบ Exclusive ภายในประเทศ ตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26 ถึง 2028/29 พร้อมเงื่อนไขพิเศษต่ออีก 2 ฤดูกาล

โดยมูลค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีก ตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26 ถึง 2028/29 แบ่งเป็นฤดูกาลละ 350 ล้านบาท รวม 4 ฤดูกาล เป็นเงิน 1,400 ล้านบาท ครอบคุมทั้งไทยลีก 1, ไทยลีก 2, ไทยลีก 3, ฟุตบอลถ้วย ช้าง เอฟเอ คัพ, ฟุตบอลถ้วย รีโว่ คัพ, U21 ลีก, Women’s League 1-2

รวมทั้งการรับผิดชอบค่าผลิตสัญญาณ มูลค่าไม่น้อยกว่า 150 ล้านบาทต่อฤดูกาล รวม 4 ฤดูกาล เป็นเงินไม่น้อยกว่า600 ล้านบาท ทำให้มูลค่าที่สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ได้รับ ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาทต่อฤดูกาล รวมเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาทตลอด 4 ฤดูกาล

ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 AIS, Gulf และ JAS ได้แถลงร่วมกับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยพร้อมระบุว่า สามารถรับชมฟุตบอลไทยลีกได้ฟรี ผ่านการถ่ายทอดสดในระบบ HD ทั่วประเทศ เพียงแค่เป็นสมาชิกของแพลตฟอร์ม AIS PLAY และ MONOMAX

เป็นการชนะในศึกใหญ่อีกครั้ง หลัง JAS เพิ่งชิงลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และเอฟเอ คัพ ซึ่งถือเป็นคอนเทนต์ยอดนิยม แต่เพียงผู้เดียวใน 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา และลาว อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการถ่ายทอดสด รีรันและไฮไลต์ ด้วยมูลค่ากว่า 559,980,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 19,167,723,414 บาท โดยเริ่มตั้งแต่ต้นฤดูกาล2025/26 ถึง 2030/31 รวม 6 ฤดูกาลด้วยกัน

ตอนนั้น JAS ตั้งเป้าที่จะถ่ายทอดคอนเทนต์ให้เข้าถึงมากกว่า 25 ล้านครัวเรือนใน 3 ประเทศ และตั้งเป้าสมาชิก 3 ล้านบัญชีในปีแรก จากจำนวนคนทั้งสิ้น 96 ล้านคน

ไม่นานหลังจากนั้น JAS ก็ประกาศลงนาม MOU ร่วมกับ AIS และ Monomax ในการผ่านแพลตฟอร์ม AIS PLAY และMonomax ซึ่งเป็นดีลที่ไม่พลิกโผมากนัก

ความร่วมมือครั้งสำคัญนี้จะช่วยเพิ่มฐานผู้ใช้บริการผ่านลูกค้า AIS ทั้งมือถือและเน็ตบ้าน AIS 3BB Fibre3 จากเดิมที่AIS มีฐานลูกค้ารวมกว่า 50.8 ล้านราย แบ่งเป็นธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน 45.8 ล้านเลขหมาย และธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูงภายใต้แบรนด์ AIS 3BB FIBRE3 ที่มีจำนวนผู้ใช้งานกว่า 5 ล้านราย

ขณะที่ ปี 2567 Monomax มีสมาชิกกว่า 1.5 ล้านราย การที่บริษัทได้ร่วมมือครั้งใหญ่กับ JAS เพื่อนำลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก มาถ่ายทอดสดผ่านแพล็ตฟอร์ม Monomax ในฤดูกาล 2025/2026 ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 6 ปี นั้นมีเป้าหมายในการสร้างฐานสมาชิกร่วมกันกว่า 3 ล้านราย

ถ้านับรวมกับฟุตอลไทยที่พ่วงเงื่อนไขพิเศษอีก 2 ฤดูกาล เท่ากับว่ามีโอกาสที่พันธมิตรค่ายนี้จะได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีก และพรีเมียร์ลีก ควบคู่กันไปนานถึง 6 ฤดูกาล ซึ่งสองรายการนี้คือตัวท็อปที่แฟนฟุตบอลชาวไทยให้ความสนใจมากที่สุด

ทรูแก้เกม รุกบันเทิงกีฬาอื่น

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ถือเป็นการแข่งขันฟุตบอลที่ได้รับความนิยมและมีผู้ติดตามมากที่สุดในโลก ที่ผ่านมาทรูวิชั่นส์ได้ลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดแทบจะโดยตลอด

ย้อนกลับไปตั้งแต่ฤดูกาล 2010-2013 ก่อนจะถูกท้ามายด้วยผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง CTH ที่ทุ่มเม็ดเงินมหาศาลกว่า 9 พันล้านบาท จนได้เป็นผู้ครอบครองลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ในฤดูกาล 2013-2016 ต่อด้วย beIN SPORTS ในฤดูกาล 2016-2019

จากนั้น ทรูวิชั่นส์ ก็กวาดเรียบ 6 ฤดูกาลติดต่อกัน แบ่งเป็นการประมูลในฤดูกาล 2019-2022 และ 2022-2025 ก่อนจะถูกท้าทายด้วยเม็ดเงินที่มหาศาลของ JAS อีกครั้ง

ในฟากไทยลีกเมื่อปี 2014-2016 ตอนยังเป็น โตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก ทรูวิชั่นส์เป็นผู้คว้าสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก 3 ปี ด้วยมูลค่า 1,800 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 600 ล้านบาท

ถัดมาในปี 2017-2020 ทรูวิชั่นส์ เจ้าเดิมก็คว้าลิขสิทธิ์ต่อเนื่องไปอีก 4 ฤดูกาล ทั้งไทยลีก, ลีกวัน, ลีกคัพ และเอฟเอคัพ ด้วยมูลค่าที่เป็นจุดพีก พุ่งกระฉูดถึง 4,200 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 1,050 ล้านบาท

จากนั้นในปี 2021-22 ก็เกิดการเปลี่ยนมือ โดยเป็น AIS ที่คว้าลิขสิทธิ์ไปครองด้วยจำนวนเงินที่ลดลงเหลือ 800 ล้านบาท และต่อสัญญาอีกครั้งในฤดูกาล 2022-23 กับค่าลิขสิทธิ์ที่คาดว่าราว 300 ล้านบาท และกลับมาอยู่กับทรูวิชั่นส์อีกครั้ง ในปี 2025-25 ก่อนที่ล่าสุดจะหลุดไปอยู่ที่ AIS, Gulf และ JAS

นายองอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์และมีเดีย บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น เคยกล่าวว่า ในบรรดาลีกฟุตบอลทั้งหมด ต้องยอมรับว่าพรีเมียร์ลีกได้รับความนิยมมากที่สุด แต่นั่นหมายความว่าค่าลิขสิทธิ์ก็แพงที่สุดเช่นกัน และแพงกว่าลีกอื่น หลายเท่าตัว

ยอมรับว่าเสียดายที่มีผู้ประมูลค่าลิขสิทธิ์สูงกว่าทรูวิชั่นส์ถึง 2.5 เท่า ทำให้ทรูวิชั่นส์ไม่สามารถคว้าสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกได้ แต่นอกจากพรีเมียร์ลีกแล้ว ทรูวิชั่นส์ยังมีความบันเทิงรูปแบบต่าง ซึ่งตลาดความบินเทิงนั้นใหญ่กว่ากีฬามาก

โดยมีทั้ง F1, MotoGP, NFL, NBA, เทนนิสวิมเบิลดันยูเอสโอเพ่น, แบดมินตัน, กอล์ฟไรเดอร์คัพ, ดิโอเพ่น, วอลเลย์บอล, สนุกเกอร์ ฯลฯ ที่รับชมได้แบบเอ็กซ์คลูซีฟผ่านทรูวิชั่นส์เท่านั้น ส่วนด้านฟุตบอล ก็ยังคงแข็งแกร่ง ด้วยลีกชั้นนำอย่างลาลีกา, บุนเดสลีกา, ซาอุดีลีก, ยูฟ่าแชมเปียนส์ ลีก, ยูโรปา ลีก, คอนเฟอเรนซ์ ลีก

นายองอาจ กล่าวอีกด้วยว่า แม้รายได้ของทรูวิชั่นส์อาจจะลดลง จากการไม่มีถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก แต่ต้นทุนของทรูวิชั่นส์ก็จะลดลงเช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันทรูวิชั่นส์มีสมาชิกกว่า 1.3 ล้านราย และการที่ไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ทำให้ทรูวิชั่นส์สามารถนำเงินไปใช้กับคอนเทนต์ด้านอื่นได้มากขึ้น

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.