เปิดชีวิตสลด "อัจฉริยะของอเมริกา" เมื่อเงินทอง-หน้าตา-สติปัญญา กลายเป็นภาระหนัก
sanook June 13, 2025 08:06 AM

เปิดชีวิต "อัจฉริยะของอเมริกา" อายุแค่ 18 เดือนอ่านหนังสือพิมพ์ได้ 8 ขวบคิดค้นภาษาเป็นของตัวเอง, 16 ปี จบฮาร์วาร์ดด้วยคะแนนยอดเยี่ยม แต่ตลอดชีวิตกลับ "ไร้ที่พึ่งพิง" แม้ทำงานใช้แรงก็ยังถูกดูแคลน สุดท้ายเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวไร้ผู้คนเคียงข้าง

เรามักเชื่อว่า 3 ปัจจัยที่นำพาคนสู่ความสำเร็จคือ เงินทอง หน้าตา และสติปัญญา แต่สำหรับอัจฉริยะผู้นี้ ปัจจัยทั้งสามกลับกลายเป็นภาระหนักที่บดขยี้ชีวิตของเขาจนย่อยยับ

วิลเลียม ไซดิส (William Sidis) เกิดเมื่อปี 1898 ที่นิวยอร์ก ในครอบครัวผู้อพยพชาวยิว พ่อของเขา บอริส ไซดิส เป็นจิตแพทย์ชื่อดังผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ถึง 4 สาขา และมีชื่อเสียงด้านการวิจัยเกี่ยวกับจิตเวชศาสตร์ ส่วนแม่ของเขาก็เป็นแพทย์เช่นกัน ด้วยพื้นฐานทางวิชาการที่ยอดเยี่ยม

พวกเขาจึงตั้งความหวังอันยิ่งใหญ่ไว้กับลูกชายเพียงคนเดียว และเลี้ยงดูเขาราวกับเป็น "โครงการทดลองทางวิทยาศาสตร์" ด้วยแนวคิดจิตวิทยาทันสมัยในยุคนั้น

ตั้งแต่ยังเล็ก วิลเลียมก็แสดงศักยภาพของอัจฉริยะอย่างชัดเจน ในวัยเพียง 18 เดือน เขาสามารถอ่านหนังสือพิมพ์ New York Times ได้แล้ว และเมื่ออายุ 8 ขวบ เขาเรียนรู้ภาษาได้หลากหลาย ทั้งละติน กรีก รัสเซีย ฮีบรู เยอรมัน ฝรั่งเศส ตุรกี และอาร์เมเนีย

ในปีเดียวกันนั้นเอง วิลเลียมยังได้สร้างภาษาของตนเองขึ้นมา เรียกว่า “เวนเดอร์กู๊ด” (Vendergood) ซึ่งเป็นภาษาที่มีไวยากรณ์ซับซ้อน ใช้กาลหลากหลายรูปแบบ และมีถึง 8 รูปแบบของกริยาแสดงท่าที (mood)

บอริสเคยพยายามพาลูกชายเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดตั้งแต่วัยเพียง 9 ขวบ แต่ถูกปฏิเสธ กระทั่ง 2 ปีต่อมา ในปี 1909 ขณะอายุเพียง 11 ปี วิลเลียมก็กลายเป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุดที่สอบเข้าเรียนฮาร์วาร์ดได้สำเร็จ

ในปีถัดมา 1910 วิลเลียมได้บรรยายที่ชมรมคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัย สร้างความตกตะลึงให้ทั้งวงการวิชาการและสื่อมวลชน และในปี 1914 เขาก็สำเร็จการศึกษาด้วยคะแนนยอดเยี่ยมในวัยเพียง 16 ปี

สื่อยกย่องเขาในฐานะ “อัจฉริยะของอเมริกา” แต่เมื่อถูกถามถึงแผนอนาคต วิลเลียมกลับตอบเพียงว่า เขาอยากมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ นั่นคือชีวิตเรียบง่าย สงบสุข และหลีกหนีจากแสงไฟของสาธารณะ เพราะเบื้องหลังความเป็นอัจฉริยะนั้น คือชายหนุ่มที่เพียงปรารถนาจะใช้ชีวิตธรรมดา ไม่ใช่ผู้แบกรับความฝันของพ่อ

อย่างไรก็ตาม สติปัญญาอันล้ำเลิศก็ไม่อาจช่วยให้เขาหาที่ทางในสังคมได้ หลังเรียนจบ เขาเรียนต่อระดับบัณฑิตที่ฮาร์วาร์ด แล้วจึงไปสอนที่มหาวิทยาลัยไรซ์ในรัฐเท็กซัสเมื่ออายุเพียง 17 ปี แต่เพราะอายุยังน้อย เขาไม่ได้รับความเคารพจากนักศึกษา และสุดท้ายก็ถูกปลดจากตำแหน่ง

วิลเลียมเคยเข้าเรียนที่คณะนิติศาสตร์ฮาร์วาร์ด และเรียนได้อย่างโดดเด่น แต่สุดท้ายก็เลือกจะลาออกก่อนจบการศึกษา

ชีวิตของเขาค่อย ๆ ดำดิ่งสู่ทางตัน วิลเลียมเคยประกาศชัดว่าจะครองตัวเป็นโสดไปตลอดชีวิต แม้เขาจะเคยมีความรู้สึกฝ่ายเดียวต่อมาร์ธา โฟลีย์ นักข่าวสาว แต่สุดท้ายเขาก็ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวจนถึงวาระสุดท้าย

ในปี 1919 ระหว่างที่เขาเข้าร่วมการเดินขบวนเฉลิมฉลองวันแรงงานสากลที่บอสตัน วิลเลียมถูกจับกุมในข้อหาเกี่ยวข้องกับความรุนแรง เขาถูกตัดสินจำคุก 18 เดือน เนื่องจากมีแนวคิดฝักใฝ่ฝ่ายซ้าย ในชั้นศาล เขายืนยันว่าตนเป็นผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ และสนับสนุนระบอบโซเวียต เรื่องนี้ถูกสื่อมวลชนตีข่าวอย่างครึกโครม เปลี่ยนภาพลักษณ์จาก “อัจฉริยะฮาร์วาร์ด” ไปเป็น “ผู้มีแนวคิดหัวรุนแรงอันตราย”

ท้ายที่สุด ครอบครัวก็เข้ามาแทรกแซงอีกครั้ง พาตัววิลเลียมออกจากเรือนจำและส่งเขาไปยังสถานบำบัดส่วนตัวในรัฐนิวแฮมป์เชียร์ เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติ ถึงขั้นข่มขู่ว่าหากเขายังไม่เปลี่ยนความคิด ก็จะส่งตัวเข้าโรงพยาบาลจิตเวช วิลเลียมใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัว และนับวันเพื่อจะหลุดพ้นจากการควบคุมนั้น

เมื่อพ้นจากการควบคุมของครอบครัว เขาก็ตัดขาดจากญาติพี่น้อง ใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ทำงานใช้แรงงานทั่วไปเพื่อยังชีพ ในปี 1924 สื่อมวลชนพบว่าเขากำลังทำงานเป็นกรรมกร และเริ่มเย้ยหยันเขาว่าเป็น “อัจฉริยะที่ปล่อยให้พรสวรรค์สูญเปล่า”

แต่ในความเป็นจริง ตลอดช่วงชีวิตที่หลบเร้น วิลเลียมยังคงเขียนหนังสือจำนวนมากภายใต้นามปากกาหลากหลายชื่อ เขาทำการศึกษาอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ และจักรวาลวิทยา ในหนังสือ The Animate and the Inanimate เขาเสนอทฤษฎีว่าเอกภพดำรงอยู่ตลอดกาล และดวงดาวทั้งหลายนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีวัฏจักรของความสว่างและความมืด

ในปี 1944 วิลเลียมได้ยื่นฟ้องนิตยสาร The New Yorker เนื่องจากบทความล้อเลียนที่สร้างความเสื่อมเสีย ศาลโดยผู้พิพากษาชาร์ลส์ เอ็ดเวิร์ด คลาร์ก ยอมรับว่าบทความดังกล่าว “สร้างบาดแผลทางจิตใจอย่างรุนแรง” ต่อเขา แต่ก็วินิจฉัยว่าไม่อาจปกป้องวิลเลียมจากการถูกสื่อคุกคามได้อีกครั้ง อัจฉริยะผู้ปลีกวิเวกกลายเป็นเหยื่อของสื่อมวลชนอีกคำรบหนึ่ง

ไม่นานหลังคดีความ วิลเลียม เจมส์ ซิดิส ก็เสียชีวิตด้วยอาการเลือดออกในสมอง ขณะมีอายุเพียง 46 ปี ซึ่งเป็นโรคเดียวกับที่คร่าชีวิตบิดาของเขา อัจฉริยะที่เคยถูกคาดหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงโลก กลับต้องใช้ชีวิตและลาจากไปอย่างเดียวดาย

ทั้งที่สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือชีวิตที่เรียบง่ายสงบสุข ทว่าความทะเยอทะยานของครอบครัว การจ้องมองของสื่อ และกระแสการเมืองในยุคสมัย ได้พรากความฝันเล็ก ๆ นั้นไปจากเขาตลอดกาล

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.