ถึงผู้บริหารสูงสุด!! ดีเอสไอ จ่อส่งสำนวนฮั้วประมูลสร้างตึกสตง. ให้ป.ป.ช.สัปดาห์หน้า
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 มิ.ย. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ถนนแจ้งวัฒนะ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีคดีพิเศษที่ 32/2568 ในความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 กรณี บริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด เข้าเป็นกิจการร่วมค้า ITD-CREC คู่สัญญาก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่
ซึ่งมีการสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการคดีพิเศษ พร้อมความเห็นส่งฟ้อง 5 ผู้ต้องหา ประกอบด้วย นายมานัส ศรีอนันท์ นายประจวบ ศิริเขตร นายโสภณ มีชัย (กรรมการชาวไทย) และอีก 2 นายทุนสัญชาติจีน คือ นายชวนหลิง จาง และนายบินลิง วู ว่า วานนี้ (12 มิ.ย.) ดีเอสไอได้มีการนำตัวผู้ต้องหารายสุดท้าย คือ นายบินลิง วู ส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการคดีพิเศษ เพื่อพิจารณาเรียบร้อยแล้ว
ส่วนขั้นตอนการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา จะเป็นอำนาจการพิจารณาของพนักงานอัยการ ว่ากำหนดให้ผู้ต้องหาส่งคำชี้แจงภายในกรอบระยะเวลากี่วัน ส่วนรายละเอียดภายในสำนวนเชิงลึก ไม่ขอเปิดเผย เนื่องจากดีเอสไอได้ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการไปแล้ว แต่มีบางส่วนที่ทางผู้ต้องหาได้ให้การเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของบุคคล
ส่วนสาเหตุที่นายบินลิง วู ถูกจับกุม แต่ไม่ได้ปรากฏชื่อในโครงสร้างกรรมการผู้บริหารของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด นั้น ก็เพราะว่าจากการสืบสวนสอบสวนพบว่า 3 กรรมการคนไทยดังกล่าว ได้ไปมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการอีกหลายบริษัท ประมาณ 10 แห่ง ที่ก็มีรายชื่อของนายบินลิง วู เป็นกรรมการร่วมด้วย ดีเอสไอจึงมีพยานหลักฐานถึงความเชื่อมโยงดังกล่าว รวมทั้งนายบินลิง วู ก็ให้การที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี นอกจากนี้ บริษัทอื่น ๆ ที่ปรากฏรายชื่อ 3 กรรมการคนไทยไปเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการนั้น ดีเอสไอจะขยายผลต่อไป
พ.ต.ต.วรณัน เปิดเผยอีกว่า ส่วนสำนวนคดีฮั้วประมูลโครงการก่อสร้างตึก สตง. ซึ่งดีเอสไอได้ดำเนินการตรวจสอบสัญญา 3 ฉบับ ได้แก่ สัญญาการออกแบบ สัญญาการก่อสร้าง สัญญาการควบคุมงาน ซึ่งขณะนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษอยู่ระหว่างเร่งรวบรวมเอกสารและตรวจพยานหลักฐานจำนวนมาก เบื้องต้นมีเอกสารเกี่ยวข้องทั้งหมด 30 ลัง เฉลี่ยลังละ 5 แฟ้ม ซึ่ง 1 แฟ้มมีเอกสารประมาณ 400-500 แผ่น ซึ่งสำนวนคดีดังกล่าวนี้จะถูกส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาไต่สวนข้อเท็จจริงภายในสัปดาห์หน้า
ส่วนจะมีข้าราชการระดับสูงของผู้บริหาร สตง. เกี่ยวข้องหรือไม่นั้น ย้ำว่า เป็นไปตามรายชื่อที่มีผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษกับทางดีเอสไอให้ตรวจสอบ ซึ่งมีทั้งรายชื่อของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ด้วย ส่วนจะเป็นบุคคลใดบ้าง ตามที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องประมาณ 70 รายนั้น ยังไม่ขอเปิดเผยเช่นนั้นเพราะอำนาจการไต่สวนเป็นของ ป.ป.ช.
พ.ต.ต.วรณัน เปิดเผยอีกว่า ส่วนกรณีที่ดีเอสไอตรวจสอบพบว่าถุงปูนที่ใช้ผสมซีเมนต์ในการก่อสร้างตึก สตง ไม่มีตราสัญลักษณ์ มอก. ซึ่งเป็นไปตามการกำหนดใน TOR นั้น เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้มีการลงพื้นที่ไปตรวจสอบแพลนท์ปูน จึงพบข้อมูลดังกล่าว ขณะนี้ทางกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้มีการประสานกับทางสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงอยู่ระหว่างรอรายงานผลการตรวจสอบพิสูจน์จากทั้งสองหน่วยงาน ซึ่งใจความสำคัญของการกำหนดมาตรฐานของวัสดุที่ใช้สำหรับการก่อสร้าง จะมีการกำหนดคุณสมบัติใน TOR ทั้งหมด จึงต้องรอผลตรวจพิสูจน์ก่อนว่าปูนและเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้าง เป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งก็ต้องรอให้ทาง สมอ. รายงานเรื่องมายังดีเอสไอ และหากพบความผิดปกติหรือความผิดเข้าข้อกฎหมายใด สมอ. จะเป็นผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษขอให้ดีเอสไอดำเนินคดีตามขั้นตอนต่อไป
พ.ต.ต.วรณัน เปิดเผยอีกว่า สำหรับการตรวจสอบตึกสตง. มีอยู่ด้วยกัน 4 ส่วน คือ 1.การรื้อถอนจะเป็นการดำเนินการของ กทม. 2.กรณีการบาดเจ็บเสียชีวิต สน.บางซื่อ เป็นผู้ดำเนินคดี 3.กรณีของการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวและการฮั้วประมูลให้ได้มาซึ่งสัญญาที่ไม่เป็นธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นผู้ดำเนินการ และ 4.ผลการตรวจพิสูจน์ทางวิศวกรรม เพื่อหาสาเหตุการถล่มของตึก สตง. ซึ่งการตรวจเก็บวัสดุการก่อสร้างก็จะนำไปสู่ในเรื่องนี้ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า รายชื่อของผู้บริหารระดับสูงของ สตง. ในคดีฮั้วประมูลสัญญาตึก สตง. ที่ดีเอสไอจะต้องส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. ในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ ป.ป.ช. ไต่สวนข้อเท็จจริง มี 4 ราย โดยเป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กร ทั้งในอดีตและปัจจุบัน