ผู้เขียน | รองศาสตราจารย์ นรชาติ วัง |
---|
สายสัมพันธ์ไทย-จีน ผูกพันยาวนาน
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2568 (ค.ศ.2025) เป็นวันครบรอบ 50 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน อันที่จริงประเทศจีนกับประเทศไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีประวัติการไปมาหาสู่กันฉันมิตรมายาวนานเกือบ 2,000 ปีแล้ว ชาวไทยและชาวจีนได้ติดต่อสัมพันธ์กันทั้งทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมืองมาแต่โบราณ แม้ว่าประเทศจีนเป็นประเทศใหญ่ และมีพลเมืองมากกว่าประเทศไทยก็ตาม แต่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง โดยรวมแล้วจะมีลักษณะที่เอื้อประโยชน์ต่อกันฉันญาติมิตร ประเทศไทยและจีนแม้ว่าจะอยู่ไม่ไกลกัน แต่การติดต่อถึงกันทางบกในสมัยโบราณค่อนข้างลำบาก เพราะฉะนั้นการติดต่อระหว่างประเทศทั้งสองจึงใช้เส้นทางทางทะเลเป็นหลัก ซึ่งนำไปสู่ “การค้าสำเภา” (Junk Trade) ระหว่างกัน ตามบันทึกของ “หนังสือพงศาวดารราชวงศ์ฮั่น บรรพภูมิศาสตร์ (《汉书∙地理志》) บันทึกไว้ว่า จากป้อมปราการแห่งแคว้น Rinan (日南) เมือง Xuwen (徐闻) และเมือง Hepu (合浦) ใช้เวลาเดินเรือ 5 เดือนถึงอาณาจักร Du Yuan (都元国) และเดินเรืออีก 4 เดือน จะถึงอาณาจักร Yi Lumei (邑卢没) และเดินเรืออีก 20 กว่าวัน จะถึงอาณาจักร Shen Li (谌离国) ซึ่งอาณาจักร Du Yuan อาณาจักร Yi Lumei และอาณาจักร Shen Li ล้วนเป็นอาณาจักรสมัยโบราณในแถบบริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานีของไทย ทั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 คือ สมัยราชวงศ์ฮั่น เรือสินค้าของจีนก็ได้เดินทางมาทำการค้าขายกับอาณาจักรสมัยโบราณของไทย ดังกล่าวแล้ว และตามการบันทึกของ “หนังสือพงศาวดารราชวงศ์สุย” (《隋书》) ได้บันทึกไว้ว่า ปีที่ 3 ในรัชกาลต้าเอี้ย (Daye ค.ศ.607) จักรพรรดิสุยหยางตี้มีรับสั่งว่าให้ฉางจวุ้น (Changjun) ขุนนางระดับอธิบดีที่รับผิดชอบการหักร้างถางพง และหวังจวุนเจิ้ง (Wang Junzheng) ขุนนางที่มีหน้าที่บริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้ ภูเขา แม่น้ำ และแร่ธาตุของแผ่นดิน เป็นราชทูต เดินทางไปเยือนอาณาจักรชื่อถู่ (Chuetu 赤土国 อาณาจักรที่มีเนื้อดินสีแดง) ซึ่งขุนนางทั้งสองคนต่างก็ได้นำเอาของกำนัลที่เป็นผ้าแพร 1 ร้อยพับ เครื่องแบบขุนนางสมัยโบราณ 1 ชุด ทรัพย์สินและสิ่งของมีค่า 5 พันส่วน เพื่อนำไปถวายกษัตริย์ของอาณาจักร
ชื่อถู่ของไทย และกษัตริย์ชื่อถู่ได้ส่งขุนนางนำเรือ 30 ลำมาต้อนรับราชทูตของจีน ตอนที่ราชทูตของจีนเดินทางกลับประเทศ กษัตริย์อาณาจักรชื่อถู่ส่งพระราชโอรส พระนามว่า นายากา (那邪迦) โดยสารพร้อมราชทูตจีนไปเยือนราชวงศ์สุยของจีนด้วย ซึ่งได้ถวายมงกุฎรูปลักษณะดอกบัว และวัตถุขี้ผึ้งหอมแด่จักรพรรดิสุยหยางตี้ และในฤดูใบไม้ผลิ ปีที่ 6 ในรัชกาลต้าเอี้ย (Daye ค.ศ.610) ณ เมืองหงหนง (เมืองหลิงเป่า มณฑลเหอหนันปัจจุบัน) จักรพรรดิสุยหยางตี้ ให้นายากา พระราชโอรสแห่งอาณาจักรชื่อถู่ เข้าเฝ้า ตามการสันนิษฐานของนักโบราณคดี และนักประวัติศาสตร์ เห็นว่าอาณาจักรชื่อถู่ในสมัยโบราณนี้ อยู่ในบริเวณจังหวัดสงขลาและจังหวัดปัตตานีของไทยปัจจุบัน ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการติดต่อและการแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐ ระหว่างไทย-จีน เริ่มในปี ค.ศ.607 ซึ่งจักรพรรดิสุยหยางตี้ของจีนพบปะกับนายากา พระราชโอรสของอาณาจักรชื่อถู่ของไทย ที่เมืองหงหนงนั้น ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 7 ของประวัติความสัมพันธ์ไทย-จีน
ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถัง อาณาจักรตู้หลอโป๋ตี่ (堕罗钵底国) ก็มีการติดต่อไปมาหาสู่กันฉันมิตรกับราชวงศ์ถังของจีน อาณาจักรตู้หลอโป๋ตี่ เป็นอาณาจักรโบราณที่อยู่ทางภาคกลางของไทย ซึ่งเป็นอาณาจักรที่มีอารยธรรมสูงมาก ที่ดำรงอยู่ในศตวรรษที่ 6-10 ปกครองชุมชนที่กว้างใหญ่ในบริเวณตอนล่างของแม่น้ำเจ้าพระยา และได้สร้างสัมพันธไมตรีกับราชวงศ์ถังของจีน อาณาจักรตู้หลอโป๋ตี่นี้ หมายถึงอาณาจักรทวารวดี ที่มีนครปฐมเป็นศูนย์กลาง ณ ขณะนั้น ใน “หนังสือสาส์นจากผู้พำนักในดินแดนแห่งทะเลใต้” แต่งโดยยี่จิ้ง (义净) ซึ่งเป็นพระภิกษุอาวุโส และเป็นสมัยราชวงศ์ถัง ก็มีการบันทึกเรื่องราวของชุมชนโบราณทางภาคกลางของไทย
ปี ค.ศ.1238 พ่อขุนรามคำแหง ร่วมมือกับพ่อขุนผาเมือง ได้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัย ทางภาคเหนือของไทย ตามการบันทึกของหนังสือพงศาวดารราชวงศ์หยวน (《元史》) ได้บันทึกไว้ว่า ปีแรกในรัชกาลหยวนเจิน (Yuanzhen ค.ศ.1295) คณะทูตของอาณาจักรเสียน ถวายราชสาส์นที่เขียนตัวหนังสือเป็นลายทอง แด่จักรพรรดิราชวงศ์หยวนเฉิงจง ขอให้ราชสำนักจีนส่งทูตไปเยือนอาณาจักรเสียน ซึ่งในเอกสารจีนโบราณ อาณาจักรเสียนที่ว่านี้ หมายถึงอาณาจักรสุโขทัย จากเอกสารจีนโบราณจะเห็นว่า กรุงสุโขทัยได้ส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และทางการค้า กับราชวงศ์หยวนของจีนอย่างเต็มที่ หลังจากคณะทูตของกรุงสุโขทัยได้ไปเยือนราชวงศ์หยวน และได้เชิญช่างทำเครื่องปั้นดินเผาของจีนมาถ่ายทอดเทคนิคการทำเครื่องเคลือบในเมืองไทย ส่งผลให้มีการถ่ายทอดความรู้ของจีนสู่ไทย รวมทั้งทำให้การค้าขายของไทยเกิดการขยายตัว ซึ่ง “เครื่องสังคโลก” ได้กลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทยในสมัยนั้น โดยได้จำหน่ายไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น
ในรัชกาลหย่งเล่อ ถึงรัชกาลซวนเต๋อ แห่งราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1403-1435) เจิ้งเหอ (คนไทยเรียกท่านว่า ซำปอกง) ได้นำกองเรือพาณิชย์ของราชวงศ์หมิงไปเยือนประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวม 7 ครั้ง และได้หว่านเมล็ดพืชแห่งสันถวไมตรี กับประเทศไทยและประเทศทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างๆ ในระหว่าง ปี ค.ศ.1371 ถึง ค.ศ.1623 ประเทศสยามได้ส่งคณะทูตไปเยือนราชวงศ์หมิง รวมทั้งหมด 108 ครั้ง และในปี ค.ศ.1370 ถึง ค.ศ.1482 ทางราชวงศ์หมิงก็ได้ส่งราชทูตมาเยือนประเทศสยาม 27 ครั้ง และเนื่องจากขนาดของ “การค้าระบบบรรณาการ” ระหว่างไทย-จีน ขยายตัวมากขึ้น และการแลกเปลี่ยนระหว่างราชวงศ์หมิงกับต่างประเทศก็มีมากขึ้น จึงมีความต้องการล่ามแปลภาษาเพิ่มมากขึ้น ราชสำนักของราชวงศ์หมิงจึงได้ก่อตั้งหอเรียนภาษา 4 ชาติ (四夷馆) ใน ปี ค.ศ.1368 ซึ่งได้คัดเลือกอารักษ์วรรณคดีของจักรพรรดิจีน จำนวน 38 คน มาเรียนภาษาต่างประเทศ และในปี ค.ศ.1407 ได้เพิ่มการสอนภาษาคำเมืองทางภาคเหนือของไทย ภาษาไทยภาคกลาง ภาษาเมียนมา และภาษาอาหรับ ในหอเรียนภาษา 4 ชาติ และในปี ค.ศ.1407 เริ่มรับลูกหลานทั้งของขุนนางและของประชาชนทั่วไป มาเรียนภาษาต่างประเทศในหอเรียน 4 ชาติ เพื่อผลิตบัณฑิตทำหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษาของราชสำนัก
ราชวงศ์หมิง
ในสมัยราชวงศ์ชิง ได้เปลี่ยนชื่อหอเรียนภาษา 4 ชาติ (四夷馆) มาเป็นหอแปลภาษา 4 ชาติ (四译馆) ในปี ค.ศ.1748 และการค้าตาม “ระบบบรรณาการ” (Tribute trade) ควบคู่กับการค้าสำเภา (Junk trade) ระหว่างกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ของไทย กับราชวงศ์ชิงของจีน ตามเส้นทางสายไหมทางทะเลมีการขยายตัวมากยิ่งขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีน ในสมัยโบราณนับตั้งแต่อาณาจักรชื่อถู่ จนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นความสัมพันธ์ในการค้าระบบบรรณาการ และการค้าสำเภา ทำให้เมืองไทยมั่งคั่ง และกลายเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศตะวันตก คือยุโรป กับประเทศทางตะวันออก คือจีน ในช่วงยุคสมัยนั้นๆ ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน มีลักษณะที่เอื้อประโยชน์ต่อกันฉันญาติมิตร
อย่างไรก็ตาม ต่อมาเมื่อผ่านสงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามกลางเมืองของจีน นับตั้งแต่จีนได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประเทศสังคมนิยม ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2492 (ค.ศ.1949) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามเย็น จากผลกระทบทั้งสภาพแวดล้อมสากล และปัจจัยภายในประเทศทำให้มิตรภาพระหว่างไทยกับจีน ต้องเผชิญกับอุปสรรคอันหนักหน่วง
อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน นับตั้งแต่มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2518 จนถึงปัจจุบันมีความใกล้ชิดและเอื้อประโยชน์ต่อกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งตลอดเวลา 50 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาแห่งมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งสอง ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และรอบด้านบนพื้นฐานของหลักการแห่งมิตรภาพที่เสมอภาค และอำนวยประโยชน์ซึ่งกันและกัน ผู้นำของทั้งสองประเทศรวมถึงภาคประชาชน องค์กรต่างๆ ได้มีการไปมาหาสู่กันอย่างใกล้ชิดตลอดมา ซึ่งทั้งสองประเทศได้ร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพ ในด้านการเมือง เศรษฐกิจ การค้า การทหาร วัฒนธรรม การศึกษา และเทคโนโลยี เป็นต้น
ในด้านกิจการส่วนภูมิภาค และกิจการระหว่างประเทศนั้น ไทย-จีนมีการประสานงานและร่วมมือกันเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่เป็นเสมือนญาติพี่น้องกันนั้นได้พัฒนาก้าวหน้าต่อไป ประเทศไทยกับประเทศจีนได้สร้างความสัมพันธ์ฉันเพื่อนบ้านที่ดี ซึ่งมีความไว้วางใจรอบด้าน ถือเป็นตัวอย่างของความร่วมมือที่อำนวยประโยชน์ซึ่งกันและกัน และเป็นตัวอย่างของมิตรประเทศที่มีระบอบการปกครองต่างกัน
เมื่อปี พ.ศ.2521 (ค.ศ.1978) รัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนได้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างไทยกับจีนขึ้น และหลังจากนั้นได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างไทยกับจีนขึ้น รวมทั้งได้ลงนามในข้อตกลงด้านการขนส่งทางอากาศพลเรือน ในปี พ.ศ.2523 ลงนามบันทึกความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าและเทคโนโลยี ในปี พ.ศ.2540 และลงนามข้อตกลงด้านการขนส่งทางเรือ และข้อตกลงเพิ่มเติมในปี พ.ศ.2524 ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวนี้ได้กระตุ้นความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนให้พัฒนาก้าวหน้า
ไทย-จีนมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในหลายด้าน เช่น ด้านการศึกษา เทคโนโลยี ศิลปะ นาฏศิลป์ การสาธารณสุข ศาสนา กีฬา และการท่องเที่ยว เป็นต้น เมื่อ พ.ศ.2521 ทั้งสองประเทศได้ลงนามในข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่างไทย-จีน และทั้งสองประเทศเริ่มแลกเปลี่ยนบุคลากรทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แลกเปลี่ยนนักศึกษา ผ่านมาถึงศตวรรษที่ 21 ณ ปัจจุบันนี้ เฉพาะนักศึกษาที่เรียนอยู่ในสำนักวิชาจีนวิทยา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มีจำนวน 1,900 กว่าคน ในแต่ละปีมีนักศึกษาของสำนักจีนวิทยาที่ยื่นขอทุนรัฐบาลจีน เพื่อเข้าศึกษาต่อระดับมหาบัณฑิตที่ประเทศจีน ในแต่ละปีมีจำนวนประมาณ 30 คน และขอทุนศึกษาต่อระดับดุษฎีบัณฑิต แต่ละปีมีจำนวน 1-2 คน ซึ่งการแลกเปลี่ยนทั้งทางด้านวัฒนธรรม การศึกษา และวิทยาศาสตร์ของไทย-จีน ในหลายระดับ หลายวงการเช่นนี้ ยังไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างไทย-จีน ทำให้ประชาชนทั้งสองประเทศได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้ และเสริมสร้างความเข้าใจ ระหว่างประเทศทั้งสองให้แน่นแฟ้นดียิ่งขึ้น
ในระหว่างช่วงต้นของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน มูลค่าการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ คือ 21 ล้านดอลลาร์ ในปี พ.ศ.2538 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 3,362 ล้านดอลลาร์ ในปี พ.ศ.2543 ได้ขยายเป็น 6,600 ล้านดอลลาร์ ในปี พ.ศ.2546 มูลค่าการค้าระหว่างประเทศทั้งสองได้เพิ่มขึ้นเป็น 12,655 ล้านดอลลาร์ และในปี พ.ศ.2566 มูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีน เพิ่มขึ้นเป็น 126.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย ขณะที่ไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าสำคัญของจีนในอาเซียน ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้า
ระหว่างสองประเทศเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสำคัญอย่างยานยนต์ไฟฟ้า (EV) พลังงานสีเขียว และเศรษฐกิจดิจิทัล ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทย-จีน ได้แสดงให้เห็นถึงอนาคตอันยาวไกลและแนวโน้มที่ดี
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนได้พัฒนาไปมากในรอบ 50 ปีแห่งมิตรภาพ อาจกล่าวได้ว่าไทยเป็นมิตรประเทศที่ใกล้ชิดที่สุดประเทศหนึ่งของประเทศจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพราะความสัมพันธ์ไทย-จีนดำเนินมาบนพื้นฐานของความเสมอภาค เคารพซึ่งกันและกัน ไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน และอยู่ภายใต้หลักของผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อธำรงไว้ซึ่งความมั่นคง สันติภาพ และเสถียรภาพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้