อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เป็นจังหวะของนักท่องเที่ยว ที่ชื่นชอบเทือกเขาเขียวขจี น้ำตกใสเย็น และอากาศสดชื่นที่ชวนให้หลีกหนีความวุ่นวายมาสูดอากาศธรรมชาติให้เต็มปอด แต่สิ่งที่ทำให้ภูเวียงน่าค้นหายิ่งขึ้น คือเรื่องราวของสัตว์ตัวใหญ่อันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนแผ่นดินของหุบเขาภูเวียงแห่งนี้
เทือกเขาภูเวียง ไม่ใช่แค่ภูเขาธรรมดาๆ แต่คือพื้นที่ที่มีวิวัฒนาการมายาวนานนับ ร้อยล้านปีที่เคยอยู่ใต้ทะเลและยกตัวขึ้นสูง กลายเป็นบ้านของเหล่าไดโนเสาร์ตัวใหญ่ยักษ์ที่เคยเดินอวดโฉมกันอยู่แถวนี้จริง เรื่องราวทั้งหมดเริ่มตั้งแต่ยุคคาร์บอนิเฟอรัส ประมาณ 360 ล้านปีก่อน ที่เทือกเขานี้เริ่มก่อตัวขึ้นพร้อมกับที่ราบสูงโคราช จากนั้นแผ่นเปลือกโลกก็ชนกัน เรียกว่า Indosinian Orogeny เกิดเป็นภูเขาสูงใหญ่ ก่อนจะทรุดตัวกลายเป็นแอ่งโคราช แอ่งขนาดใหญ่ที่สะสมชั้นตะกอนเอาไว้นับไม่ถ้วน และเต็มไปด้วยฟอสซิลไดโนเสาร์สุดล้ำค่า
ไม่เพียงเท่านี้ในอำภูเวียง ยังมีการท่องเที่ยวชุมขนที่จะพาไปสัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้านอย่างใกล้ชิดอีกด้วย เมื่อมาถึงเราร่วมตังกันที่ ไร่แทนคุณแผ่นดิน (TTA : ประเภทแหล่งท่องเที่ยวชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ) ที่ได้พี่เซ้ง- แสงเพชร ตันทะอธิพานิช เป็นหัวเรือในการทำเส้นทางท่องเที่ยว ที่นี่มีกิจกรรมให้ลองมากมาย ทั้งการเรียนรู้ธรรมชาติ วิถีเกษตรพื้นบ้าน และร่วมกิจกรรมสนุก ๆ ที่จัดโดยชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง รถซาเล้ง (มอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง) ลัดเลาะไปตามเส้นทางในหมู่บ้าน หรือนั่ง รถอีแต๊ก ชมทุ่งนาและป่าเขา และอาหารถิ่นรสแซ่บ
เสื้อแขนยาวพร้อม หมวกกันน็อกพร้อม รถซาเล้งที่จอดเรียงรายอยู่ตรงหน้า ก็มีคนขับที่เป็นลุง ๆ ป้า ๆ หน้าตายิ้มแย้มก็พร้อมแล้วที่จะพาเราลัดเลาะไปสัมผัสบรรยากาศสองข้างทางคือความเรียบง่ายของชาวภูเวียง แนวเทือกเขาที่ทอดตัวยาวโอบล้อมชุมชนไว้ราวกับอ้อมแขน บ้านแต่ละหลังยังคงเอกลักษณ์ของชนบทภาคอีสานไว้อย่างชัดเจน บ้านไม้ยกสูงมีใต้ถุนให้ลมพัดผ่าน บางหลังมียุ้งข้าว บางหลังก็มีคอกวัว คอกควาย และภาพที่เมื่อมาเยือนแถบชนบทที่ได้เห็นบ่อยๆ คือภาพของทุ่งนาเขียวขจี ทอดยาวสุดสายตา
พอรถเลี้ยวเข้าเขต ชุมชนบ้านหินร่อง ที่ตั้งอยู่กลางหุบเขาเวียงเก่า พร้อมรอยยิ้มจากคุณลุงคุณป้าที่มาต้อนรับ จากนั้นก็เริ่มทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ ตามแบบฉบับของชาวอีสานที่ทำให้กับลูกหลาน เราได้รับการผูกข้อมือด้วยด้ายสีขาว พร้อมคำอวยพรดี ๆ จากขาวบ้านหินร่อง ที่ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ถึงเวลาอิ่มอร่อยกับอาหารพื้นถิ่น ที่ทั้งเรียบง่ายและอร่อยเ มีทั้งข้าวเหนียวร้อน ๆ น้ำพริกรสเด็ก ส้มตำแซ่บๆ
อิ่มท้องแล้วก็ลุยต่อกับกิจกรรมสนุก ๆ อย่างการ ทำต้นผึ้ง งานฝีมือโบราณที่ใช้เป็นเครื่องบูชาตามความเชื่อท้องถิ่น เพราะต้นผึ้งที่ทำจะถูกนำไปประกอบขบวนฟ้อนรำ เพื่อนำไปถวายพระเจ้าใหญ่ศิลาชัยสมใจนึกมิ่งมงคล พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัดทรงศิลา นั่งรถซาเล้งไปต่อที่ ไร่ธรรมจักร เพื่อร่วมกิจกรรมทำกำไลจากหญ้าแฝก ที่นำมาผสมกับเส้นไหม กลายเป็นของที่ระลึกแฮนด์เมดสวย ๆ
มาถึงไฮไลท์ของทริปที่จะพาไปรู้จักไดโนเสาร์ที่ ศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ที่นี่คือแหล่งรวมเรื่องราวสุดมหัศจรรย์ของเจ้าสัตว์โลกล้านปี เริ่มต้นกันที่ โซน A มิวเซียมการ์เด้น ที่เปิดฉากต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยสวนสวยร่มรื่น รายล้อมไปด้วยประติมากรรมโครงกระดูกไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ จากนั้นเดินต่อเข้าสู่ โซน B จัดแสดงนิทรรศการแบ่งออกเป็น 5 โซนย่อยที่แต่ละโซนก็มีเรื่องราวชวนตื่นตา โซน 1 พาเราไปรู้จักกับกำเนิดจักรวาล การเกิดของโลก และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตนับตั้งแต่เริ่มต้น…จนกระทั่งไดโนเสาร์ปรากฏตัวขึ้น
โซน 2 พูดถึงไดโนเสาร์ที่พบในเทือกเขาภูเวียง โดยเฉพาะกระดูกชิ้นแรก ที่ขุดพบในไทยเมื่อปี 2519 พร้อมไฮไลต์เด็ดคือโครงกระดูกจำลองของ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน ไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ของโลกที่ถูกตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ โซน 3 จำลองห้องแล็บและห้องปฏิบัติการซากดึกดำบรรพ์ ที่จะพาคุณสวมบทนักวิทยาศาสตร์สืบค้นเรื่องราวของฟอสซิลและชั้นหิน
โซน 4 หรือที่เรียกกันว่า สวนไดโนเสาร์ นี่แหละ! จุดถ่ายรูปสุดปัง ที่มีหุ่นจำลองไดโนเสาร์ 5 สายพันธุ์ที่พบในจังหวัดขอนแก่น ไม่ว่าจะเป็น สยามโมซอรัส สุธีธรนี, ภูเวียงเวเนเตอร์ แย้มนิยมมิ, หรือ กินรีไมมัส ขอนแก่นเอนซิส ที่ดูสมจริงเหมือนกำลังมีชีวิตอยู่เลยทีเดียว และโซน 5 ที่พาเราย้อนดูช่วงเปลี่ยนผ่านจากยุคไดโนเสาร์สู่ยุคสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม พร้อมเรียนรู้การใช้ประโยชน์จากแร่หินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในยุคต่าง ๆ ส่วน โซน C คือ หุบเขาไดโนเสาร์ ซึ่งจำลองขนาดไดโนเสาร์ได้อย่างตื่นตาตื่นใจ
มาถึงจุดหมายสุดท้ายที่ อุทยานแห่งชาติภูเวียง (TTA : ประเภทแหล่งท่องเที่ยว Silver Awards) เพราะที่นี่คือ แหล่งขุดค้นฟอสซิลไดโนเสาร์ที่มีถึง 9 หลุม และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ถึง 4 หลุม ได้แก่ หลุมที่ 1 ภูประตูตีหมา จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไดโนเสาร์ไทย พบกระดูกไดโนเสาร์กินพืชกว่า 20 ชิ้น และค้นพบไดโนเสาร์ชนิดใหม่ของโลกอย่าง ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน และ สยามโมซอรัส สุธีธรนิ รวมถึงไดโนเสาร์ตัวจิ๋ว คอมพ์ซอกนาธัส หลุมที่ 2 ถ้ำเจีย พบกระดูกคอของซอโรพอดเรียงต่อกันอย่างน่าทึ่ง เคยได้รับเสด็จฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ
หลุมที่ 3 ห้วยประตูตีหมา พบฟอสซิลไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ มีอาคารคลุม พร้อมแผนผังอธิบายชัดเจน และหลุมที่ 9 หินลาดยาว พบกระดูกสะโพกและโคนหางของไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นต้นตระกูลของ ไทรันโนซอรัส เร็กซ์ ได้รับชื่อว่า สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส แต่ละหลุมเชื่อมต่อด้วยทางเดินป่า เดินเพลิน ๆ
แต่การเดินทางมาครั้งนี้เรามุ่งหน้าไปหลุมที่ 3 ห้วยประตูตีหมา ที่กำลังมีการขุดสำรวจจริง หลังจากเงียบไปนานกว่า 30 ปี โดยมี ดร.วราวุธ สุธีธร ผู้เชี่ยวชาญด้านบรรพชีวิน พร้อมด้วย นายสุธรรม วงษ์จันทร์ หัวหน้าอุทยานฯ และทีมผู้เชี่ยวชาญ ร่วมกันขุดสำรวจโครงกระดูกที่คาดว่าจะเป็นไดโนเสาร์สายพันธุ์ที่ 14 ของไทย และเป็นตัวที่ 6 ที่พบในภูเวียง ซึ่งคาดว่าเป็นญาติใกล้ชิดกับภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ ไดโนเสาร์ชื่อดังที่ถูกค้นพบที่นี่เมื่อหลายสิบปีก่อน
หลังจากเดินลัดเลาะผ่านลานแร่ยูเรเนียมไปประมาณ 200 เมตร ผ่านเส้นทางธรรมชาติที่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ เราก็มาถึง หลุมขุดค้นที่ 3 การได้มายืนอยู่ตรงหน้าหลุมที่ยังขุดไม่เสร็จ พร้อมรับฟังเรื่องราวจากผู้เชี่ยวชาญแบบใกล้ชิด ชวนตื่นเต้นไม่ต่างจากการได้มีส่วนร่วมในการสำรวจครั้งนี้
หัวหน้าอุทยานฯ ชี้ให้เราดูตามแต่ละแนวหิน และสาธิตวิธีการขุดสำรวจอย่างประณีต ทุกจังหวะที่แปรงเล็ก ๆ ปัดฝุ่นเบา ๆ ออก เราได้เห็นชิ้นส่วนฟอสซิลทีละน้อย ซึ่งชิ้นส่วนที่พบมีทั้ง กระดูกสันหลังส่วนกลางตัว กระดูกคอ กระดูกซี่โครง และ ฟันบางซี่ ที่โผล่พ้นผิวหินออกมา ซึ่งทีมสำรวจจะมีการขุดค้นอย่างต่อเนื่องและต้องใช้ทั้งเวลา ความพยายาม และฝีมืออันละเอียดในการค้นหากระดูกส่วนอื่นๆ ที่อาจจะอยู่ลึกลงไปอีกด้วย
การเดินทางมาภูเวียงในครั้งนี้ ไม่เพียงพาเราไปรู้จักอดีตอันยิ่งใหญ่ของโลกในยุคโลกล้านปี แต่ยังพาเข้าไปสัมผัสหัวใจของชุมชน ผู้คน ธรรมชาติที่มีเสน่ห์ และยังเป็นห้องเรียนกลางแจ้ง ของธรณีวิทยาและประวัติศาสตร์โลก ที่ยังมีเรื่องราวให้ค้นหาอีกมากมาย