ลดงบขาดดุลเพิ่มรายได้ โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลัง ที่มากกว่า "แค่ขึ้นภาษี"
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางการคลังที่หนักหน่วง งบประมาณแผ่นดินที่ขาดดุลต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี และหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กำลังเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าการบริหารจัดการรายได้ของรัฐจำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปอย่างจริงจัง แม้ว่าการปรับขึ้นอัตราภาษีจะเป็นวิธีการหนึ่งในการเพิ่มรายได้ แต่ในบริบทของประเทศไทยขณะนี้ การ "ขึ้นภาษี" เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ และอาจสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ไม่พึงประสงค์ได้ การปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
จากการอภิปรายงบประมาณประจำปี 2569 ประเด็นหลักที่พรรคประชาชนใช้ตั้งคำถามกับแผนงบประมาณฉบับนี้ คือ การดำเนินงบประมาณขาดดุลแบบสุดโต่ง และมีการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลสูงที่สุดในประวัติการณ์ถึงกว่า 4.5% ต่อ GDP ซึ่งงบประมาณที่ถูกรีดออกมากว่า 3.77 ล้านล้านบาท สามารถนำไปใช้ได้จริงในการดำเนินโครงการพัฒนาประเทศเพียง 1 ใน 4 ของงบประมาณทั้งหมดเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่ถูกจัดสรรให้กับรายจ่ายงบประจำ เช่น รายจ่ายสำหรับบุคลากร งบชำระหนี้ งบผูกพัน และงบท้องถิ่น ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร ได้อภิปรายแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการขาดดุลเพื่อให้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตของประเทศใหม่ แต่จะต้องอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ในขณะที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล จะอภิปรายโต้แย้งว่าเป็นการวางรากฐานเพื่อใช้หนี้ที่มีอยู่ก่อน ในอนาคตรัฐบาลจะสามารถลดการขาดดุลได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และสำหรับงบประจำอื่น ๆ ก็มีการปรับลดลงแล้วเช่นกัน รัฐบาลยังเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาท้องถิ่น จึงได้จัดสรรงบให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไม่อยากให้ฝ่ายค้านมองว่าแผนงบประมาณปี 2569 นี้ถูกเขียนขึ้นอย่างไร้ความรับผิดชอบ
เป็นเรื่องดีที่รัฐบาลมุ่งมั่นใช้หนี้ และควบคุมรายจ่ายประจำ แต่ก็มีโครงการอีกมากที่ต้องการเงินสนับสนุน การที่รัฐยังไม่มีประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้มากเพียงพอกับรายจ่ายจะทำให้ประเทศไทยไม่สามารถหลุดจากการกู้เพื่อลดการขาดดุลได้ ในรายงานความเสี่ยงการคลัง ปีงบประมาณ 2567 โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ระบุชัดเจนว่าประเทศไทยมีความสามารถในการจัดเก็บรายได้ต่ำ ขณะที่มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น และมีหนี้สาธารณะที่เพิ่มไม่หยุด ทำให้สภาพคล่องทางการคลังลดลง จึงแนะนำให้ประเทศไทยลดระดับการขาดดุลให้เหลือไม่เกิน 3% ของ GDP ผ่านการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ การลดรายจ่าย และผลักดันการออมหลังเกษียณ
ขณะนี้ปลัดกระทรวงการคลังประกาศจะเสนอแผนปฏิรูปภาษี โดยอาจมีการปรับขึ้นภาษีหลายประเภท เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้รัฐให้แตะ 18% ต่อ GDP ครอบคลุมทั้งภาษีสรรพากร และภาษีสรรพสามิต เช่น การขยายฐานภาษีบุคคลธรรมดา และภาษีนิติบุคคล การจัดเก็บภาษีความหวาน และความเค็ม ซึ่งการขึ้นภาษีเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะเรียกเม็ดเงินได้อย่างรวดเร็ว แต่การขึ้นภาษีเพียงอย่างเดียวมีข้อจำกัดและผลกระทบที่ต้องพิจารณา เช่น กำลังซื้อของผู้บริโภค ความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ และโครงสร้างภาษีที่ต้องสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจเพื่อให้เอื้อต่อการจัดเก็บรายได้ด้วย
ในฐานะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนายเผ่าภูมิโรจนสกุล กำกับดูแลกรมสรรพสามิต ภาษีสรรพสามิตนับเป็นแหล่งรายได้ลำดับที่ 2 ใน 3 กรมจัดเก็บภาษี ที่ยังมีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากภาษีสรรพสามิตยาสูบที่หายไป ในปี 2560 กรมสรรพสามิตตัดสินใจปรับโครงสร้างภาษียาสูบครั้งใหญ่ โดยนำการจัดเก็บภาษีแบบ 2 อัตรามาใช้ เพื่อเก็บภาษีจากทั้งขาปริมาณและขามูลค่า โดยในขามูลค่านั้น ได้แบ่งบุหรี่เป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มราคาประหยัดจะเสียภาษีน้อยกว่า และราคาสูงจะเสียภาษีมากกว่า ทำให้มีอัตราภาษีจริงเฉลี่ยต่อหน่วย (Effective Tax Rate: ETR) เพิ่มขึ้น แต่ภายหลังประกาศใช้ บุหรี่ทั้งไทยและต่างประเทศต่างลดราคามาแข่งขันในกลุ่มราคาประหยัดเพื่อเสียภาษีน้อยกว่า เป็นจุดเริ่มต้นของรายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบที่ไม่เคยกลับไปแตะระดับ 6 หมื่นล้านอีกเลย และในปี 2564 ที่มีการปรับขึ้นอัตราภาษีบุหรี่อีกครั้ง ก็ส่งผลกระทบโดยตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปหาสินค้าทดแทนที่มีราคาถูก ทำให้รายได้ภาษีสรรพสามิตเองก็ตกต่ำจนถึงขีดสุด เหลือเพียง 5.1 หมื่นล้านในปี 2567 และอาจเหลือ 4.9 ล้านในปี 2568 ตกต่ำที่สุดในรอบ 15 ปี แม้ว่ากระทรวงการคลังจะทราบดีว่าโครงสร้างภาษียาสูบที่เป็นสากลและเอื้อต่อการจัดเก็บรายได้คือการใช้โครงสร้างภาษีแบบอัตราเดียวที่เรียบง่าย และมีมติคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการปรับสู่ภาษีอัตราเดียวหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีแนวโน้มว่ากระทรวงการคลังและกรมสรรพสามิตภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังนายเผ่าภูมิ โรจนสกุลจะดำเนินเปลี่ยนแปลงใดๆ ท่ามกลางรายได้ภาษีจะลดลงเรื่อย ๆ ทุกปี
รายงานความเสี่ยงการคลังชี้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับภาษีสรรพสามิตยาสูบนั้นเป็นผลกระทบโดยตรงจากการปรับโครงสร้างภาษี ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ต่างจากภาษีรถยนต์ที่ลดลงเพราะมีการปรับโครงสร้างเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปนิยมรถยนต์ไฟฟ้าที่มีอัตราภาษีที่ต่ำกว่ารถยนต์สันดาปมากขึ้น โดยการเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำมากขึ้นและส่งผลดีต่อสิ่งเเวดล้อมตามมา ปัญหาโครงสร้างภาษียาสูบจึงเป็นบทเรียนที่ดีให้กับกระทรวงการคลังที่ต้องเร่งหารายได้ ซึ่งมากกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการขึ้นภาษี กระทรวงการคลัง ต้องคิดหาหนทางระยะยาวในการปรับโครงสร้าง อุดรอยรั่ว เพื่อให้โครงสร้างภาษีมีประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้มากที่สุด เพราะเครื่องมือภาษีเป็นกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปในทิศทางที่ยั่งยืนและสมดุล การเปลี่ยนแปลงนี้จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจ และความกล้าหาญทางการเมืองในการผลักดัน เพื่ออนาคตที่มั่นคงของประเทศไทย