ในห้วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจและความเปราะบางของความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล ภายในคณะรัฐมนตรีกลับปะทุความขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างสองพรรคแกนนำรัฐบาล ได้แก่ พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะประเด็นการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่มีมูลค่าสูงทั้งในเชิงอำนาจและกลไกทางการเมือง การปรับ ครม. ที่แต่เดิมควรเป็นเพียงกลไกปรับสมดุล กลับอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองที่ใหญ่หลวง
จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง
พรรคเพื่อไทยซึ่งปัจจุบันถืออำนาจนำในรัฐบาล หลังได้เก้าอี้นายกรัฐมนตรีโดยมีแพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าและผู้นำทางนโยบาย มีความพยายามในการ “ทวงคืน” กระทรวงมหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทยที่ครองตำแหน่งนี้มาตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อน และยังถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในการวางรากฐานทางการเมืองทั้งระดับชาติและท้องถิ่น
ฝ่ายเพื่อไทยมองว่าหากยังปล่อยให้พรรคพันธมิตรร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทยถือครองกระทรวงนี้ต่อไป อาจเป็นการลดทอนศักยภาพในการขับเคลื่อนนโยบาย โดยเฉพาะในช่วงที่พรรคต้องเตรียมความพร้อมรองรับการเลือกตั้งท้องถิ่น สร้างเครือข่ายฐานเสียงใหม่ และผลักดันโครงการ entertainment complex
ในทางกลับกัน พรรคภูมิใจไทยเองก็ไม่ยินยอมง่าย ๆ เพราะกระทรวงมหาดไทยคือหัวใจสำคัญที่ช่วยให้พรรคยังคงมีอิทธิพลในภูมิภาค และรักษาสถานะ “พรรคตัวแปร” ที่ขาดไม่ได้ในสมการอำนาจ
เกมการเมือง หรือจุดแตกหักจริง?
ความขัดแย้งในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงความไม่ลงรอยในหมู่พรรคร่วมรัฐบาลทั่วไป แต่แฝงด้วยมิติการเมืองลึกซึ้งที่ต้องจับตา
1.พรรคเพื่อไทยต้องการเร่งฟื้นคะแนนนิยม: หลังบริหารงานมากว่า 1 ปี พรรคเพื่อไทยเริ่มเผชิญกระแสวิจารณ์จากทั้งฝ่ายค้านและประชาชนเรื่องนโยบายล่าช้า และภาพลักษณ์ว่า “อยู่ใต้เงาทักษิณ” การทวงกระทรวงหลักอย่าง มหาดไทย กลับมาอาจเป็นกลยุทธ์ในการเร่งผลักดันนโยบายให้เป็นรูปธรรม
2.พรรคภูมิใจไทยต้องการต่อรองอำนาจ: การยอมเสียกระทรวงมหาดไทยหมายถึงการเสียดุลอำนาจในรัฐบาล ดังนั้น พรรคจึงยื่นข้อแลกเปลี่ยน ทั้งการขอเก้าอี้สำคัญอื่นเพิ่มเติม หรือแม้แต่ขู่ถอนตัวออกจากรัฐบาลหากไม่เป็นไปตามที่ต้องการ
3.พรรคประชาชนคือไพ่สำรองของทั้งสองฝ่าย: พรรคประชาชนที่เพิ่งรวมตัวกันใหม่และมีแนวโน้มเติบโตเร็ว กลายเป็น “ตัวแปรลับ” ที่ทั้งพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทยอาจดึงเข้ามาร่วมรัฐบาลหากเกิดการแตกหักจริง เพื่อสร้างสมดุลใหม่ในการบริหารประเทศ
โอกาสยุบสภา: มีแค่ไหน?
คำถามสำคัญคือ ความขัดแย้งครั้งนี้จะลุกลามจนถึงขั้น “ยุบสภา” และจัดการเลือกตั้งใหม่หรือไม่?
วิเคราะห์ในทางโครงสร้าง: การยุบสภาเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี และในกรณีนี้คือแพทองธาร หากเห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศได้ด้วยความสงบหรือเสถียรภาพ ก็สามารถประกาศยุบสภาได้
วิเคราะห์ในทางการเมือง: การยุบสภาอาจเป็นดาบสองคม เพราะพรรคเพื่อไทยเองยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับการเลือกตั้งกลางเทอม ท่ามกลางกระแสสังคมที่ยังสับสนกับผลงานรัฐบาล
ฝ่ายภูมิใจไทยแม้มีฐานเสียงแน่นในต่างจังหวัด แต่การลงสนามเลือกตั้งใหม่ในช่วงเวลานี้อาจกระทบต่อการรักษาสัดส่วน ส.ส. โดยเฉพาะหากพรรคประชาชนกำลังมาแรง
ไพ่เปลี่ยนขั้ว: เป็นไปได้จริงหรือ?
หากความขัดแย้งถึงทางตันและฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถอนตัวออกจากรัฐบาล ทางเลือกที่เป็นไปได้คือ “การเปลี่ยนขั้วรัฐบาล” โดยมีพรรคประชาชนเป็นตัวกลาง
สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น:
1.พรรคเพื่อไทยจับมือพรรคประชาชน หากเพื่อไทยยอมสละภูมิใจไทย และรวบรวมเสียงพรรคเล็กอื่น ๆ โดยดึงพรรคประชาชนเข้าร่วม ก็อาจได้เสียงเพียงพอตั้งรัฐบาลใหม่โดยไม่ต้องยุบสภา
แต่จะถูกโจมตีหนักในเชิงจริยธรรม เพราะการเปลี่ยนขั้วโดยไม่ผ่านเลือกตั้ง อาจกระทบต่อความชอบธรรมของรัฐบาลใหม่
2.ภูมิใจไทยจับมือพรรคประชาชน ตั้งรัฐบาลใหม่: ในกรณีสุดโต่ง หากภูมิใจไทยถอนตัวจากรัฐบาลเพื่อไทย และสามารถรวบรวมเสียงจากพรรคเล็กและพรรคประชาชนได้เพียงพอ ก็อาจยื่นญัตติไม่ไว้วางใจเพื่อโค่นรัฐบาลเดิมและขึ้นเป็นแกนนำใหม่
อย่างไรก็ตามนับเป็นแนวทางที่เสี่ยง เพราะต้องมี ส.ส. พรรคเพื่อไทยจำนวนมากแปรพักตร์ร่วมด้วย
ปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อการตัดสินใจ
กระแสสังคม: หากประชาชนมองว่าความขัดแย้งครั้งนี้เป็นเพียง “เกมแย่งอำนาจ” ไม่ใช่การแก้ปัญหาให้บ้านเมือง จะยิ่งกดดันทั้งสองพรรคให้เจรจาและประนีประนอมมากกว่าปล่อยให้สถานการณ์ถึงทางตัน
บทบาทของทักษิณ ชินวัตร: ในฐานะผู้มีอิทธิพลเบื้องหลังพรรคเพื่อไทย ท่าทีของทักษิณจะมีน้ำหนักอย่างยิ่งในการกำหนดว่าพรรคจะยอมประนีประนอม หรือเดินเกมเปลี่ยนขั้วรัฐบาล
ฝ่ายอนุรักษ์นิยมและองคาพยพเก่า: แม้จะไม่ชัดเจน แต่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างรัฐบาลทุกครั้ง มักมีแรงกดดันจากกลุ่มอำนาจนอกสภาซ่อนอยู่ ซึ่งหากฝ่ายใดไปแตะ “เส้นแดง” ของกลุ่มอำนาจเดิม อาจทำให้สถานการณ์เปลี่ยนทิศได้ในชั่วข้ามคืน
แตกหักจริงหรือเพียงเกมต่อรอง?
ความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยในครั้งนี้ ถือเป็นบททดสอบสำคัญของรัฐบาลผสมที่มีอำนาจหลายกลุ่มเข้ามาแบ่งเค้กกันในโครงสร้างอำนาจ
แม้โอกาสยุบสภาจะยังไม่มากในระยะสั้น เพราะทุกฝ่ายต่างรู้ดีว่าการเลือกตั้งใหม่เสี่ยงและยังไม่มีใครพร้อม 100% แต่หากความขัดแย้งลากยาว ไม่สามารถหาจุดลงตัวได้ การเปลี่ยนขั้วรัฐบาล โดยดึงพรรคประชาชนเข้าร่วม อาจกลายเป็นทางออกทางการเมืองที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่จำเป็นต้องทำเพื่อรักษาเสถียรภาพ
หากผู้มีอำนาจยังคงเห็น “ตำแหน่งรัฐมนตรี” สำคัญกว่าความอยู่รอดของรัฐบาลและความมั่นคงของประเทศ การแตกหักก็อาจเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในที่สุด
ประชาชนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพิจารณาอย่างมีวิจารณญาณว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือการต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ หรือเป็นเพียงเกมอำนาจระหว่างพรรคการเมือง ส่วนฝ่ายผู้มีอำนาจควรยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง มิใช่เพียงเกมสลับเก้าอี้ที่ไม่มีวันจบ
#ปรับครม #เพื่อไทยภูมิใจไทย #ยุบสภา #การเมืองไทย #วิเคราะห์การเมือง #เปลี่ยนขั้วรัฐบาล #พรรคประชาชน #รมวมหาดไทย #เกมการเมือง #ข่าวการเมือง