รู้จัก โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน แผลเล็กอาจลามถึงตาย คนไทยเสี่ยงแค่ไหน
GH News June 17, 2025 09:05 PM

แบคทีเรียกินเนื้อคน คืออะไร ติดจาก ดิน-น้ำ-ทะเล เข้าแผลลามถึงตาย แนะวิธีป้องกัน สังเกตอาการด่วนคนไทยกลุ่มไหนเสี่ยงบ้าง

ชื่อของ แบคทีเรียกินเนื้อคน ฟังดูเหมือนหลุดมาจากหนังสยองขวัญ แต่มันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นได้! โรคนี้มีชื่อทางการแพทย์ว่า necrotizing fasciitis (เนโครไทซิง ฟาสซิไอติส) หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า “โรคเนื้อเน่า” มันคือการติดเชื้อแบคทีเรียขั้นรุนแรงที่เกิดขึ้นในชั้นเนื้อเยื่ออ่อนใต้ผิวหนังของเรา ตั้งแต่ชั้นผิวหนัง, ชั้นไขมัน ไปจนถึงพังผืดที่หุ้มกล้ามเนื้อ! เมื่อเชื้อร้ายนี้บุกรุกเข้าไป มันจะทำลายเนื้อเยื่อบริเวณนั้นให้ตายและเน่าลุกลามไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง! หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตสูงมากครับ!

เชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคนมาจากไหน?

เชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคน ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ สเตรปโตคอคคัส กลุ่มเอ (Streptococcus pyogenes) ซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เราเจ็บคอทอนซิลอักเสบ หรือเป็นแผลพุพองตามผิวหนังธรรมดานี่แหละ แต่ในบางกรณีที่โชคร้าย เชื้อตัวนี้สามารถปล่อยพิษร้ายแรงออกมาแล้วมุดลึกลงไปทำลายเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังของเราได้

นอกจากนี้ ยังมีตัวการอื่น ๆ อย่าง เชื้อแบคทีเรียกลุ่ม สแตฟิโลคอคัส (บางตัวก็คือเชื้อดื้อยาที่เราเคยได้ยิน), เชื้อ วิบริโอ (Vibrio vulnificus) ที่อาจพบได้ในน้ำทะเล หรือเชื้อ แอโรโมแนส (Aeromonas) ที่อยู่ในน้ำจืด ก็สามารถก่อให้เกิดโรคเนื้อเน่าสุดสยองนี้ได้เหมือนกัน

แบคทีเรียชนิดนี้ กินเนื้อของมนุษย์ได้อย่างไร

กลไกของมันน่ากลัวมากครับ พอเชื้อโรคพวกนี้หลุดเข้าไปใต้ผิวหนังเราผ่านทางบาดแผล (ไม่ว่าจะแผลเล็กหรือแผลใหญ่) มันจะเหมือนได้บ้านใหม่ที่อยู่สบายสุดๆ! มันจะเริ่มเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แล้วก็ปล่อยสารพิษออกมาทำลายเซลล์เนื้อเยื่อรอบๆ โดยตรง! พอเนื้อเยื่อโดนทำลาย เลือดก็ไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงได้ สุดท้ายเนื้อส่วนนั้นก็จะตายและเน่าอย่างรวดเร็ว ถ้าปล่อยให้เชื้อลามเข้าสู่กระแสเลือดไปทั่วร่างกายเมื่อไหร่ ก็จะทำให้เกิดภาวะช็อกและอวัยวะต่างๆ ล้มเหลวตามมา นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้มันอันตรายถึงชีวิตถ้าไปหาหมอไม่ทัน

กลุ่มเสี่ยง แบคทีเรียกินเนื้อคน ในไทย

อยากที่ทราบกันดีว่า โรค แบคทีเรียกินเนื้อคน หรือ โรคเนื้อเน่า (Necrotizing Fasciitis) ที่สุดแสนจะน่ากลัวนี้ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย หากโชคร้ายมีบาดแผลแล้วติดเชื้อรุนแรง แต่จะมีบางกลุ่มที่ต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะถ้าติดเชื้อขึ้นมาเมื่อไหร่ โรคจะลุกลามเร็วกว่าและรุนแรงกว่าคนปกติหลายเท่าตัว มาดูกันเลยว่ามีใครบ้าง

พี่น้องเกษตรกร และคนทำงานกับดิน-น้ำจืด

กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่พบการติดเชื้อเนื้อเน่าได้บ่อยในประเทศไทย! โดยเฉพาะ ชาวนาที่ต้องลุยโคลน ลุยน้ำขังเป็นประจำ เพียงแค่มีบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ที่เท้า แล้วโดนเศษดิน, หญ้า, หรือเปลือกหอยในนาบาดหรือขีดข่วน เชื้อโรคที่อยู่ในดินหรือน้ำก็สามารถบุกรุกเข้าไปทางบาดแผลนั้นได้ทันที

กลุ่มผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีโรคประจำตัว

นี่คือกลุ่มที่เสี่ยงสูงสุดเลยครับ เพราะร่างกายอาจจะต่อสู้กับเชื้อโรคได้ไม่เต็มที่ ทำให้เชื้อลุกลามได้ง่าย คนกลุ่มนี้ได้แก่

  • ผู้ป่วย โรคเบาหวาน (ทั้งภูมิคุ้มกันต่ำและหลอดเลือดส่วนปลายก็ไม่ค่อยดี)
  • ผู้ป่วย โรคไตวายเรื้อรัง หรือ โรคตับแข็ง
  • ผู้ป่วย มะเร็ง ที่กำลังอยู่ในช่วงทำเคมีบำบัด
  • ผู้ติดเชื้อ HIV
  • ผู้ที่ต้องใช้ ยากดภูมิคุ้มกัน หรือ ยาสเตียรอยด์ เป็นเวลานาน
  • ผู้สูงอายุ ที่ร่างกายโดยรวมอ่อนแอ

ชาวประมง และคนรักทะเล

ทะเลก็อาจมีภัยเงียบซ่อนอยู่ ใครที่ทำงานชายฝั่ง, เป็นชาวประมง หรือแม้แต่ไปเที่ยวทะเลแล้วเกิดบาดแผลจากอุปกรณ์ต่างๆ, ก้างปลา, เปลือกหอย, หรือครีบปลาตำ ต้องระวังให้ดี เพราะในน้ำทะเลมีแบคทีเรียกินเนื้อตัวร้ายที่ชื่อว่า “วิบริโอ” (Vibrio vulnificus) อาศัยอยู่ ซึ่งเชื้อตัวนี้อันตรายมากโดยเฉพาะกับคนที่มีโรคประจำตัวอย่างเบาหวานหรือโรคตับ มันสามารถเข้าทางบาดแผลแล้วลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วสุด ๆ

ทุกคนที่มีแผลเปิด (และคนที่ชอบกินของดิบ)

นี่คือคำเตือนจากกรมควบคุมโรคของสหรัฐฯ (CDC) เลยนะครับ เชื้อ “วิบริโอ ตัวร้ายในทะเล ไม่ได้เข้าทางแผลได้อย่างเดียว แต่ยังสามารถเข้าสู่ร่างกายของเราได้จากการ กินอาหารทะเลดิบ ๆ อีกด้วย

ที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือ ภาวะโลกร้อน ที่กำลังทำให้น้ำทะเลทั่วโลกอุ่นขึ้น ซึ่งเป็นสภาวะที่เชื้อแบคทีเรียกินเนื้อพวกนี้ชอบมาก! มันเลยขยายพันธุ์และแพร่กระจายไปยังน่านน้ำใหม่ ๆ ที่ในอดีตอาจไม่เคยพบเชื้อนี้มาก่อน ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเยลในสหรัฐฯ ถึงกับออกมาย้ำเตือนอย่างหนักแน่นว่า ใครก็ตามที่มีบาดแผลตามร่างกาย ควรหลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำทะเลโดยเด็ดขาด เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าในน้ำนั้นมีเชื้อแบคทีเรียอันตรายเหล่านี้ปะปนอยู่หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคประจำตัวที่ชอบไปท่องเที่ยวทางทะเล ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษเลยครับ

วิธีรักษา แบคทีเรียกินเนื้อคน

โรคเนื้อเน่า ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่อันตรายสุดๆ การรักษาจึงเป็นการต่อสู้ที่ต้องแข่งกับเวลา เพราะเชื้อร้ายมันลุกลามไวเหมือนไฟป่า หัวใจสำคัญที่สุดคือการวินิจฉัยให้เร็วและเริ่มรักษาทันที

1. การผ่าตัดด่วน

แพทย์จะรีบนำผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัดเพื่อ ขูดและตัด เอาเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อหรือตายแล้วออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (Surgical Debridement) พร้อมกันนั้นจะมีการเปิดแผลเพื่อระบายหนองและลดความดันภายในเนื้อเยื่อที่กำลังบวมเป่งอักเสบ

2. ปูพรมยาปฏิชีวนะ

จะมีการให้ยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์กว้างหลายชนิดเข้าทางหลอดเลือดดำในปริมาณที่สูงทันที เพื่อ “ปูพรม” ฆ่าเชื้อให้ครอบคลุมที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ก่อนที่จะรู้ผลเพาะเชื้อที่แน่ชัด ยาที่ใช้อาจมีทั้งกลุ่มเพนนิซิลลิน, คลินดามัยซิน (เพื่อยับยั้งพิษของเชื้อ), หรือยาที่ครอบคลุมเชื้อในน้ำทะเลอย่างวิบริโอ เป็นต้น เมื่อผลเพาะเชื้อออกแล้ว แพทย์จะปรับยาให้ตรงจุดต่อไป

การรักษาที่หนักหน่วงและต่อเนื่อง

การรักษาสุดโหดนี้ต้องทำในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูง คนไข้ส่วนใหญ่มักจะต้องเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก (ICU) เพื่อเฝ้าระวังภาวะช็อกและอวัยวะต่าง ๆ ล้มเหลวอย่างใกล้ชิด ที่น่ากลัวคือ คนไข้มักจะต้องเข้าห้องผ่าตัดซ้ำแล้วซ้ำอีก ทุก ๆ 24-48 ชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเนื้อร้ายหลงเหลืออยู่ และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หากการติดเชื้อลุกลามรุนแรงจนควบคุมไม่ได้ แพทย์อาจจำเป็นต้องตัดสินใจ ตัดแขนหรือขา ส่วนนั้นทิ้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายต่อไปและเพื่อรักษาชีวิตของคนไข้ไว้

“ความเร็ว” คือหัวใจสำคัญที่สุดในการรอดชีวิต

หลังจากผ่านพ้นวิกฤตและควบคุมการติดเชื้อได้แล้ว คนไข้อาจจะต้องเข้ารับการผ่าตัดตกแต่งหรือศัลยกรรมแก้ไขในส่วนที่เนื้อเยื่อหายไปในภายหลัง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้คือ “ความเร็ว” ถ้าผู้ป่วยมาถึงมือหมอเร็วตั้งแต่เริ่มมีอาการ และได้รับยาปฏิชีวนะที่ถูกต้องอย่างรวดเร็ว โอกาสรอดชีวิตและการหายจากโรคจะเพิ่มขึ้นสูงมาก! ทั้งยังช่วยลดการลุกลามของเชื้อได้อีกด้วย

แต่ในทางตรงกันข้าม หากมาช้าเกินไปจนเชื้อแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดไปทั่วร่างกายแล้ว ต่อให้ทีมแพทย์พยายามรักษาอย่างเต็มที่ก็อาจไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้

ดังนั้น หากคุณสงสัยว่าบาดแผลของตัวเองหรือคนใกล้ชิดมีการติดเชื้อที่รุนแรงผิดปกติ เช่น ปวด บวม แดง ร้อนอย่างรวดเร็ว… อย่าลังเล! รีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดคือคำตอบเดียวเท่านั้น

คู่มือป้องกัน แบคทีเรียกินเนื้อคน ทำตามนี้ ปลอดภัยจากเชื้อร้าย

แม้โรค “แบคทีเรียกินเนื้อคน” หรือ “โรคเนื้อเน่า” จะดูน่ากลัวและรุนแรงถึงชีวิต แต่ข่าวดีก็คือ เราสามารถป้องกันตัวเองและคนในครอบครัวได้ด้วยการดูแลสุขอนามัยและระมัดระวังเรื่องบาดแผลอย่างถูกวิธีครับ มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้างที่ต้องทำ

1. แผลเล็กแค่ไหน ก็ห้ามประมาท! (ดูแลแผลคือหัวใจสำคัญ)

เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีบาดแผล ไม่ว่าจะแค่รอยขีดข่วนเล็ก ๆ หรือแผลใหญ่แค่ไหน ต้องรีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือปราศจากเชื้อทันที! จากนั้นซับให้แห้งสนิท แล้วปิดด้วยพลาสเตอร์หรือผ้าก๊อซที่สะอาด และที่สำคัญต้องหมั่นล้างแผลและเปลี่ยนผ้าปิดแผลทุกวันจนกว่าจะหายดี เพื่อไม่ให้เชื้อโรคมีโอกาสเข้าไปเติบโตและสร้างปัญหาได้

2. มีแผลเปิดอยู่? “ห้าม” ลงน้ำเด็ดขาด

ย้ำเลยว่าในช่วงที่แผลยังไม่ปิดสนิท ไม่ควรลงไปแช่หรือว่ายน้ำในแหล่งน้ำสาธารณะทุกชนิด! ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ, บ่อน้ำร้อน, แม่น้ำ, ลำคลอง หรือแม้แต่ทะเล เพราะในน้ำอาจมีเชื้อโรคที่เรามองไม่เห็นปะปนอยู่ (เคยมีเคสสลดที่คนไข้แค่โดนก้างปลาบาดที่ทะเลที่ดูใสสะอาด แต่สุดท้ายติดเชื้อรุนแรงจนต้องตัดขาก็มีมาแล้ว!) รอให้แผลหายสนิทก่อนแล้วค่อยลงน้ำจะปลอดภัยที่สุดครับ

3. ต้องลุยน้ำ-ลุยโคลน? ป้องกันให้เต็มที่

หากเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ เช่น ในช่วงที่เกิดน้ำท่วม หรือพี่น้องเกษตรกรที่ต้องลงนาลุยโคลน ต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเสมอ! อย่างน้อยๆ ก็คือรองเท้าบูทยางและถุงมือกันน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดบาดแผลใหม่ หรือป้องกันไม่ให้น้ำสกปรกโดนแผลเดิมโดยตรง พอกลับขึ้นมาบนบกแล้ว ควรรีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันที และตรวจสอบดูว่ามีบาดแผลใหม่เกิดขึ้นหรือไม่ ถ้ามีก็ควรล้างแผลให้สะอาดแล้วใส่ยาฆ่าเชื้อไว้ก่อนเลย

4. สายซีฟู้ดต้องระวัง! “กินร้อน-ปรุงสุก” เท่านั้น

ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารทะเลดิบๆ ทุกชนิด! โดยเฉพาะหอยนางรมดิบ เพราะอาจทำให้เราได้รับเชื้อแบคทีเรีย “วิบริโอ” (Vibrio vulnificus) ซึ่งเป็นแบคทีเรียกินเนื้อตัวร้ายชนิดหนึ่งเข้าสู่ร่างกายได้! ทางที่ดีควรปรุงอาหารทะเลให้สุกอย่างทั่วถึงด้วยความร้อนสูงๆ (อย่างน้อย 70°C) และต้องล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง ทั้งก่อนและหลังทำอาหารทะเล เป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที

5. กลุ่มเสี่ยงต้องใส่ใจเป็นพิเศษ (และทุกคน “อย่าชะล่าใจ” ถ้ามีอาการผิดปกติ!)

คนที่มีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน, โรคไต, โรคตับ), ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันไม่ดี ต้องหมั่นสำรวจร่างกายตัวเองอยู่เสมอ ถ้าเจอบาดแผลแม้จะเล็กน้อยก็ต้องดูแลอย่างดีตามข้อแนะนำข้างต้นอย่างเคร่งครัด และควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น การไปทะเลในช่วงที่น้ำขุ่นหรืออากาศร้อนจัดที่เชื้อแบคทีเรียจะเติบโตได้ดี

ที่สำคัญที่สุด แม้จะดูแลแผลดีแค่ไหน แต่ถ้าจู่ๆ แผลเกิดอาการ ปวด-บวม-แดง-ร้อน มากขึ้นผิดปกติ หรือมีไข้ขึ้นมา “อย่ารอ!” ให้รีบไปหาหมอทันที! เพราะการไปพบแพทย์เร็วคือโอกาสรอดชีวิตที่สูงที่สุด การรอจนอาการหนักอาจสายเกินแก้ได้ครับ

ข่าวล่าสุด
© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.