‘เผ่าภูมิ’ ลงพื้นที่ชลบุรี โชว์จับบุหรี่เถื่อน 2.27 หมื่นซอง พร้อมกางผลงาน 8 เดือน สรรพสามิตภาค 2 ลุยปราบผู้กระทำผิดกฎหมายกระหึ่ม จับคดียาสูบ-สุราพรึ่บ
18 มิ.ย. 2568 – นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี เพื่อติดตามผลการดำเนินงานของสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 2 และสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ในสังกัด ภายใต้นโยบาย “Zero Tolerance : สินค้าหลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิตต้องเป็นศูนย์” ว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อผลักดันแนวทางการปฏิบัติงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในด้านการเร่งรัดปราบปราม การลักลอบจำหน่ายบุหรี่เถื่อน ซึ่งนับเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีการหลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิตอย่างแพร่หลาย ทั้งจากการลักลอบนำเข้าผ่านแนวชายแดน และการกระจายสินค้าสู่พื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์
โดยเหตุของการจับกุมในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่สำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 2 ได้รับแจ้งเบาะแสว่าจะมีการลักลอบขนส่งบุหรี่ที่ยังมิได้เสียภาษี ผ่านบริษัทขนส่งเอกชน จึงเข้าดำเนินการตรวจสอบพัสดุต้องสงสัย ณ ศูนย์กระจายสินค้าแห่งหนึ่ง ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พบบุหรี่ซิกาแรตที่ไม่ได้เสียภาษี รวมจำนวนทั้งสิ้น 22,760 ซอง คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,048,400 บาท ค่าภาษีสรรพสามิตประมาณ 1,429,328 บาท และประมาณการค่าปรับรวม 21,439,920 บาท โดยเจ้าหน้าที่ได้จัดทำบันทึกการตรวจยึดของกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบเพิ่มเติม ณ สำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 2 พร้อมทั้งบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ณ สถานีตำรวจภูธรแหลมฉบัง เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ จากข้อมูลและแนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ พบว่าเส้นทางการลักลอบนำเข้าบุหรี่เถื่อนมีอยู่ 2 รูปแบบหลัก ได้แก่ กรณีที่ 1 ลักลอบนำสินค้าเขามาทางทะเล เช่น จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง จังหวัดสมุทรปราการ โดยใช้เรือเป็นพาหนะในการบรรทุกขนส่งสินค้าาผิดกฎหมายเข้ามาในราชอาณาจักรไทย และกรณีที่ 2 ลักลอบนำสินค้าเข้ามาทางตะเข็บแนวชายแดน เช่น จังหวัดสระแก้ว จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด ผ่านช่องทางธรรมชาติ โดยใช้รถยนต์เป็นพาหนะในการบรรทุกขนสิงสินค้าผิดกฎหมายเข้ามาในราชอาณาจักรไทย
โดยผลจากการดำเนินงานตามนโยบายดังกล่าว ส่งผลให้ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (1 ต.ค.67 – 31 พ.ค.68) สำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 2 และสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ในสังกัด สามารถปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายได้รวมทั้งสิ้น 2,898 คดี เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.07% คิดเป็นค่าปรับ 104,649,507.58 บาท และประมาณการค่าปรับ 1,803,962,689.51 บาท คดีที่พบมากที่สุด คือ คดียาสูบ คิดเป็น 61.53% รองลงมาคือคดีสุรา คิดเป็น 27.57%
จำแนกเป็น 1. ยาสูบ จำนวน 1,783 คดี ค่าปรับ 68,143,266.84 บาท ประมาณการค่าปรับ 1,794,730,859.39 บาท จำนวนของกลาง แบ่งเป็นยาสูบในประเทศ 116,768 ซอง และยาสูบต่างประเทศ 1,232,148 ซอง 2. สุรา จำนวน 799 คดี ค่าปรับ 12,919,358.57 บาท ประมาณการค่าปรับ 1,928,280.52 บาท จำนวนของกลาง แบ่งเป็นสุราในประเทศ 3,038.655 ลิตร และสุราต่างประเทศ 12,294.522 ลิตร 3. น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 28 คดี ค่าปรับ 4,276,560.00 บาท จำนวนของกลาง 166,000 ลิตร
4. รถจักรยานยนต์ จำนวน 87 คดี ค่าปรับ 4,636,763.91 บาท ประมาณการค่าปรับ 459,000 บาท จำนวนของกลาง 215 คัน 5. ไพ่ จำนวน 32 คดี ค่าปรับ 173,909.20 บาท ประมาณการค่าปรับ 3,618,199 บาท จำนวน ของกลาง 2,775 สำรับ 6. รถยนต์ จำนวน 39 คดี ค่าปรับ 6,396,035 บาท ประมาณการค่าปรับ 316,300 บาท จำนวน ของกลาง 254 คัน และ 7. สินค้าอื่น ๆ จำนวน 130 คดี ค่าปรับ 9,103,614.36 บาท ประมาณการค่าปรับ 2,910,050.60 บาท
“กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิต จะเดินหน้าดำเนินการอย่างต่อเนื่องและจริงจังในการป้องกันและปราบปรามสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิต เพื่อปกป้องประโยชน์ของรัฐ และสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง และขับเคลื่อนนโยบาย “Zero Tolerance : สินค้าหลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิตต้องเป็นศูนย์” ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน นำไปสู่ระบบภาษีที่โปร่งใส เป็นธรรม และเอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว” นายเผ่าภูมิ กล่าว