วันนี้ (20 มิ.ย.68) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) เผยแพร่ว่า วันที่ 21 มิ.ย.68 เป็น “วันครีษมายัน” ช่วงเวลากลางวันยาวนานที่สุดในรอบปี ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางเหนือมากที่สุด และตกทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางเหนือมากที่สุด เป็นสัญญาณเริ่มต้นฤดูร้อนของประเทศทางซีกโลกเหนือ และเริ่มต้นฤดูหนาวของประเทศทางซีกโลกใต้
“วันครีษมายัน” (Summer Solstice) ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงเวลากลางวันยาวนานที่สุด และช่วงเวลากลางคืนสั้นที่สุดในรอบปี เนื่องจากดวงอาทิตย์โคจรไปถึง “จุดหยุด” หรือ “จุดเหนือสุด” บนเส้นทางการเคลื่อนที่ปรากฏบนท้องฟ้า ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันของทุกปี ตั้งแต่เดือนมี.ค. เป็นต้นมา ดวงอาทิตย์ปรากฏเคลื่อนที่ไปทางเหนือประมาณวันละ 1 องศา จนถึงจุดเหนือสุดในวันที่ 21 มิ.ย.
ส่งผลให้ดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และทำให้ในวันดังกล่าวประเทศไทยจะมีช่วงเวลากลางวันยาวนานที่สุดในรอบปี ดวงอาทิตย์จะขึ้นจากขอบฟ้าเวลาประมาณ 05:51 น. และจะตกลับขอบฟ้า เวลาประมาณ 18:47 น. รวมเวลาที่ดวงอาทิตย์ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าประมาณ 12 ชั่วโมง 56 นาที (เวลา ณ กรุงเทพมหานคร)
ทั้งนี้ วันครีษมายัน ยังนับเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูร้อนในประเทศทางซีกโลกเหนือ เช่น จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป ขณะที่ประเทศในซีกโลกใต้ เช่น ชิลี ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวในช่วงเวลาเดียวกัน
ฤดูกาลบนโลกเกิดจากการเอียงของแกนโลก ซึ่งทำมุมประมาณ 23.5 องศา กับแนวตั้งฉากของระนาบโคจรรอบดวงอาทิตย์ ส่งผลให้แต่ละพื้นที่บนโลกได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ไม่เท่ากัน ทั้งในแง่ของอุณหภูมิ และระยะเวลากลางวัน-กลางคืนที่แตกต่างกัน จึงเป็นที่มาของฤดูกาล โดยในฤดูร้อนเวลากลางวันจะยาวนานกว่ากลางคืน ดวงอาทิตย์ขึ้นเร็วและตกช้า ขณะที่ในฤดูหนาวจะตรงกันข้าม คือเวลากลางคืนยาวนานกว่า ดวงอาทิตย์ขึ้นช้าและตกเร็วปรากฏการณ์ต่อไปที่เกี่ยวข้องกับการขึ้น-ตกของดวงอาทิตย์ คือ “วันศารทวิษุวัต” (Autumnal Equinox) ในปีนี้ ตรงกับวันที่ 23 กันยายน 2568 วันดังกล่าวดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออก และตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกพอดี ส่งผลให้ช่วงเวลากลางวันเท่ากับกลางคืน ถือเป็นจุดเปลี่ยนผ่านฤดูกาล ประเทศในซีกโลกเหนือจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ขณะที่ประเทศในซีกโลกใต้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี และมีความสำคัญทั้งทางวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม