“พลังของพลัง” 40 ปี ปตท.สผ. พลังเพื่อประเทศและคนไทย
GH News June 20, 2025 11:05 PM

สิ่งที่เราแทบจะขาดไม่ได้ในโลกปัจจุบัน คงไม่มีใครปฏิเสธว่าหนึ่งในนั้น คือ “พลังงาน” เพราะพลังงานเป็นปัจจัยพื้นฐานของการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ แล้วแหล่งพลังงานที่หล่อเลี้ยงประเทศไทยของเรานั้นมาจากไหน เกิดขึ้นเมื่อไหร่

เริ่มต้นเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว นับตั้งแต่ที่มีการพบน้ำมันดิบซึมขึ้นมาบนพื้นดินที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ในปี 2461 การพบน้ำมันดิบในครั้งนั้น นับเป็นการจุดประกายความหวังในการมีแหล่งพลังงานในบ้านของเราเอง

แม้จะรู้ว่ามีทรัพยากรปิโตรเลียมซึ่งก็คือน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติอยู่ใต้พื้นพิภพ แต่การนำปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ประโยชน์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในขณะนั้น หลายอย่างเป็นเรื่องใหม่ของประเทศไทย ประกอบกับข้อจำกัดที่ยังมีหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี เงินทุน หรือองค์ความรู้ ในช่วงเริ่มต้นของการค้นหาแหล่งพลังงาน ไทยจึงต้องเปิดให้บริษัทน้ำมันนานาชาติเข้ามาประมูลสัมปทานปิโตรเลียมทั้งบนบกและในอ่าวไทย โดยที่เราอยู่ในฐานะเป็นผู้ซื้อน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหล่านั้น เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ

ก่อเกิดนักบุกเบิกพลังงานไทย เพื่อพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน

ด้วยวิสัยทัศน์ของรัฐบาลในสมัยนั้น และผู้ที่มีคุโณปการหลายท่านเมื่อ 40 ปีที่แล้ว เห็นว่าประเทศไทยควรจะต้องพึ่งพาตนเองด้านพลังงานให้ได้ เพราะนั่นหมายถึงการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. (ชื่อปัจจุบัน) จึงถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2528 เพื่อดำเนินการสำรวจ พัฒนา และผลิตปิโตรเลียม โดยให้แยกหน่วยงานออกมาจาก ปตท. ภารกิจแรกของ ปตท.สผ. ในตอนนั้นคือการเข้าร่วมลงทุนในแปลงเอส 1 (แหล่งสิริกิติ์) ที่ อ.ลานกระบือ จ.พิษณุโลก กับบริษัทไทยเชลล์ ซึ่งมีการค้นพบและผลิตน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์แล้ว เพื่อมีส่วนร่วมในการบริหารแหล่งทรัพยากรของประเทศ


 

จากนั้น ปตท.สผ. ได้เข้าไปร่วมลงทุนในแหล่งปิโตรเลียมอื่น ๆ กับบริษัทน้ำมันนานาชาติอีกหลายบริษัทซึ่งได้รับสัมปทานปิโตรเลียม เช่น โครงการอี 5 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการยูโนแคล 3 และโครงการบี 5/27 ในอ่าวไทย รวมทั้งได้เข้าเป็นผู้ดำเนินการ (operator) แหล่งน้ำมันดิบขนาดเล็กในโครงการพีทีทีอีพี 1 บริเวณ จ.สุพรรณบุรี ทุกโครงการจึงเป็นสนามให้ได้เรียนรู้ เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ในการดำเนินงาน

ในช่วงเวลาเดียวกัน อีกจุดหมายที่สำคัญยิ่งของ ปตท.สผ. คือ การเข้าเป็นผู้ดำเนินการแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในอ่าวไทย “แหล่งบงกช” เพราะอีกนัยหนึ่งนั้นหมายถึงการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานของประเทศไทย และการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ

 

หลังจากที่รัฐบาลได้มีมติให้ ปตท.สผ. ซื้อสิทธิสัมปทานแหล่งบงกชกลับคืนจากบริษัท เท็กซัส แปซิฟิค ในปี 2531 และมอบภารกิจให้ ปตท.สผ. เข้าเป็นผู้ดำเนินการแหล่งบงกชด้วยตนเอง จากที่ยังขาดประสบการณ์ในการสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียม นั่นคืออีกความท้าทายที่สำคัญของ ปตท.สผ. ซึ่งต้องข้ามผ่านให้ได้ สิ่งเร่งด่วนที่ต้องทำในขณะนั้น คือ การพัฒนาบุคลากร เรียนรู้ เพิ่มพูนประสบการณ์เกี่ยวกับกระบวนการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมให้ได้เร็วที่สุด เพื่อรับโอนการเป็นผู้ดำเนินการแหล่งบงกชต่อจากบริษัทโททาล ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่ง ปตท.สผ. คัดเลือกให้เป็นทั้งผู้ร่วมทุนและเป็นทั้งผู้ดำเนินการแหล่งบงกชในช่วงแรกนั้น

นั่นเป็นเงื่อนไขสำคัญในการคัดเลือกโททาลเข้ามาร่วมทุนด้วย คือการที่โททาลจะต้องโอนการเป็นผู้ดำเนินการให้ ปตท.สผ. ภายใน 5 ปี นับตั้งแต่แหล่งบงกชเริ่มผลิตก๊าซฯ ในปี 2536

การจะไปถึงเป้าหมายนั้น บุคลากร ปตท.สผ. ทุกตำแหน่งที่ต้องรับไม้ต่อจากโททาลจะต้องเรียนรู้เพิ่มพูนประสบการณ์ และฝึกฝนอย่างเข้มข้น ทั้งด้านการสำรวจ ด้านการผลิต การพัฒนา ไปจนถึงงานสนับสนุนต่าง ๆ ห้องเรียนในขณะนั้น ไม่ได้อยู่ที่แท่นผลิตบงกชกลางอ่าวไทยเท่านั้น แต่อยู่ที่แหล่งปิโตรเลียมต่าง ๆ ของโททาลในหลายภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส อินโดนีเซีย ไนจีเรีย เยเมน กาบอง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สกอตแลนด์ ฯลฯ ซึ่งแต่ละพื้นที่ มีความท้าทายแตกต่างกัน เช่น ด้านภูมิประเทศ วัฒนธรรม ภาษา ความเป็นอยู่ ไปจนถึงลักษณะการทำงานของแต่พื้นที่ ซึ่งทุกที่ที่ไป ต้องเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย

 

ในที่สุด แหล่งบงกชได้กลับมาอยู่ในการดูแลของบริษัทไทย โดยในปี 2541 ปตท.สผ. ได้เข้าเป็นผู้ดำเนินการแหล่งบงกชได้สำเร็จ พิสูจน์ถึงความสามารถของบริษัทไทยในการดำเนินงานด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมด้วยตนเอง และมีประสิทธิภาพทัดเทียมกับบริษัทน้ำมันนานาชาติ เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของไทยในการพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน

พร้อมกันกับช่วงเวลาของการเรียนรู้ การเตรียมพร้อมด้านเงินทุนก็สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากธุรกิจพลังงานต้องใช้เม็ดเงินในการลงทุนสูง ดังนั้น เพื่อเป็นการลดภาระของรัฐ ในปี 2536 จึงมีนโยบายให้ ปตท.สผ. จดทะเบียนเข้าเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อระดมเงินทุนจากภาคเอกชนและประชาชนสำหรับรองรับการขยายการดำเนินงานทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการแสวงหาปิโตรเลียมได้อย่างกว้างขวางขึ้น และสามารถสร้างรายได้กลับเข้าประเทศได้อีกด้วย

ทุกอุปสรรคและความท้าทาย หล่อหลอมความแข็งแกร่ง

ผ่านความท้าทายในการสร้างและพัฒนาบุคลากรเพื่อภารกิจการเข้าเป็นผู้ดำเนินการแหล่งปิโตรเลียมมาแล้ว ปตท.สผ. ยังเผชิญกับความท้าทายอื่น ๆ อีกหลายช่วงเวลา เช่นในช่วงปี 2558-2559 เกิดสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกตกต่ำ และดิ่งลงเหลือประมาณ 30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล นับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของบริษัทน้ำมันทั่วโลกอย่างมาก เพราะต้นทุนในการดำเนินงานในขณะนั้นสูงกว่าราคาน้ำมัน บริษัทน้ำมันทั่วโลกหลายบริษัทปิดตัวลง ขายกิจการ เลิกจ้างงาน เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปตท.สผ. เองต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เพื่อประคับประคองตัวเองให้อยู่รอดในสถานการณ์วิกฤตินี้ ด้วยการปรับโครงสร้างองค์กร ปรับแผนการดำเนินงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และลดค่าใช้จ่ายที่สามารถทำได้ เพื่อที่จะรักษาองค์กรและพนักงานไว้ให้ได้ในช่วงเวลาท้าทายนี้ ความรอบคอบ การปรับตัว รุกในเวลาที่ถูก ถอยในเวลาที่ควร ทำให้ผ่านพ้นสถานการณ์นั้นมาได้
 

อีกหนึ่งความท้าทายที่ทำให้ ปตท.สผ. ได้พิสูจน์บทบาทในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ คือช่วงที่แหล่งเอราวัณในอ่าวไทยหมดอายุสัมปทานลง และรัฐได้เปิดประมูลใหม่ด้วยชื่อแปลง G1/61 ภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต ปตท.สผ. ได้ชนะการประมูลครั้งนั้น และจะต้องเข้าเป็นผู้ดำเนินการต่อจากผู้ดำเนินการเดิมในเดือนเมษายน 2565 ในวันที่รับไม้ต่อนั้น ปริมาณการผลิตก๊าซฯ ของแหล่งเอราวัณ ลดเหลืออยู่ที่ราว 370 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในขณะที่อัตราการผลิตก๊าซฯ ตามสัญญาฯ ใหม่นั้น คือที่ระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ทำให้ประเทศต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) เข้ามาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าแทนก๊าซฯ ที่หายไป ซึ่งราคาแอลเอ็นจีในช่วงเวลานั้นมีราคาสูง จึงส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าไฟอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปตท.สผ. ต้องเร่งเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซฯ ในแหล่งเอราวัณให้ได้ถึง 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันให้เร็วที่สุด เพื่อลดการนำเข้าแอลเอ็นจี เรียกได้ว่าเป็นอีกช่วงเวลาที่ท้าทาย เพราะการเพิ่มกำลังการผลิตให้ขึ้นถึงอัตราดังกล่าวนั้น ต้องใช้เวลา ต้องระดมสรรพกำลังทุกด้าน เร่งรัดการทำงานทุกขั้นตอน ซึ่ง ปตท.สผ. ได้พยายามอย่างเต็มความสามารถ จนสามารถเพิ่มการผลิตก๊าซฯ ได้ถึงระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันตามสัญญาฯ ในปี 2567 เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบราคาพลังงาน และเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แข็งแกร่งขึ้น

คุณค่าที่มากกว่าของก๊าซธรรมชาติ

ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น ภาคการผลิตและอุตสาหกรรม การขนส่งและคมนาคม การสื่อสารโทรคมนาคม การพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงการใช้ในชีวิตประจำวันของผู้คนแล้ว ยังเป็นทรัพยากรที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกนานัปการ เนื่องจากมีองค์ประกอบที่สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ ซึ่งจะทำให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้ที่เพิ่มขึ้น

อุตสาหกรรมปิโตรเลียมยังเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ให้กับรัฐเป็นอันดับต้น ๆ จากค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ส่วนแบ่งกำไรจากระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต เงินผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ รายได้จากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย และรายได้อื่น ๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น สาธารณูปโภค การพัฒนาชุมชน การศึกษา สาธารณสุข ซึ่งนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทจนถึงปี 2567 ปตท.สผ. ได้นำส่งรายได้ดังกล่าวให้กับรัฐกว่า 891,000 ล้านบาท

40 ปี “พลังของพลัง” พลังของเราเพื่อพลังของประเทศและคนไทย

ผ่านมา 4 ทศวรรษ ปตท.สผ. เติบโตจากประเทศไทย ขยายไปสู่ต่างประเทศกว่า 50 โครงการ ใน 12 ประเทศ เช่น มาเลเซีย เมียนมา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมาน แอลจีเรีย โมซัมบิก อัตราการผลิตปิโตรเลียมในปีแรกของ ปตท.สผ. อยู่ที่ประมาณ 5,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณน้ำมันดิบที่ ปตท.สผ. ได้รับตามสัดส่วนการเข้าร่วมทุนในโครงการเอส 1 กับบริษัทไทยเชลล์ แต่วันนี้อัตราการผลิตปิโตรเลียมเติบโตมาอยู่ที่ประมาณ 700,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันจากทุกโครงการทั้งในและต่างประเทศ


สำหรับก๊าซธรรมชาติซึ่ง ปตท.สผ. ผลิตได้ในประเทศไทย คิดเป็น 82% ของปริมาณก๊าซธรรมชาติทั้งหมดที่ผลิตได้ในประเทศ ส่วนใหญ่มาจากแหล่งเอราวัณ (แปลง G1/61) แหล่งบงกช (แปลง G2/61) และแหล่งอาทิตย์ ในอ่าวไทย ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักที่ช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การผลิต การขนส่งและคมนาคม โทรคมนาคม เทคโนโลยี สาธารณสุข การศึกษา และอื่น ๆ ไปจนถึงการใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชน

การเป็นผู้ดำเนินการในแหล่งก๊าซฯ ซึ่งเป็นเสมือนขุมพลังของประเทศนั้น เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของ ปตท.สผ. ที่ได้ทำหน้าที่เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศและคนไทย ดังเจตนารมณ์ของการก่อตั้งบริษัทเมื่อ 40 ปีที่แล้ว
 

ก้าวต่อไป ปตท.สผ. ยังคงเดินหน้าบนเส้นทางของการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไปพร้อมกับการผลิตพลังงานให้สะอาดมากขึ้น ด้วยการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการผลิตก๊าซธรรมชาติสะอาดมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวด้วยการปลูกป่าอีกกว่า 2 แสนไร่ นอกจากนี้ ยังให้ความสนใจศึกษาการพัฒนาพลังงานรูปแบบใหม่ในอนาคต เพื่อความยั่งยืนด้านพลังงาน

ปตท.สผ. ยังมีโครงการและกิจกรรมส่งเสริมสังคม ชุมชนและดูแลสิ่งแวดล้อมหลายด้าน เช่น โครงการ “ทะเลเพื่อชีวิต” (Ocean for Life) เพื่อช่วยเสริมสร้างความสมดุลของระบบนิเวศทางทะเล สร้างรายได้ และช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชน 17 จังหวัดรอบอ่าวไทย รวมทั้งมีกิจกรรมและโครงการที่ส่งเสริมความต้องการพื้นฐาน การศึกษา สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม เพื่อให้ชุมชนรอบบริเวณพื้นที่ปฏิบัติการต่าง ๆ ของบริษัท มีคุณภาพชีวิตที่ดี และเติบโตไปด้วยกันกับบริษัท
 


ระยะเวลา 40 ปี ถ้าเปรียบเทียบกับหน้าประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมพลังงานโลก แม้จะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ยาวนาน แต่สำหรับประเทศไทย การที่เราสามารถสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเองได้ พึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้ ถือเป็นอีกส่วนสำคัญของหน้าประวัติศาสตร์พลังงานไทยในยุคโชติช่วงชัชวาล ซึ่งมีการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้า ทดแทนการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ อันเป็นรากฐานที่แข็งแรงของการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม ภารกิจของ ปตท.สผ. จึงเปรียบเสมือน พลังของพลัง ที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศ และเป็นพลังให้กับคนไทยทุกคนในการใช้ชีวิตประจำวัน ทำภารกิจ ทำตามเป้าหมาย ซึ่งพลังเหล่านั้น ได้กลับมาเป็นพลังให้ ปตท.สผ. ไม่หยุดที่จะทำหน้าที่ในการแสวงหาพลังงานอย่างเข้มแข็งและมั่นคงต่อไป

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.