ปัญหาความวุ่นวายตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเวลานี้ ส่งผลต่อรายได้ของพี่น้องประชาชนคนไทยที่อาศัยการค้าตามแนวชายแดนในการประกอบอาชีพ หารายได้จุนเจือครอบครัว ไม่สามารถส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศกัมพูชา หรือประเทศเวียดนามได้
โดนเฉพาะสินค้าเกษตรที่มีอายุในการค้าขายสั้น เกิดการเน่าเสียต้องทิ้ง ส่งผลให้สูญเสียรายได้หลายแสนบาท
เนื่องจากด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา เปลี่ยนแปลงเวลาเปิด-ปิดด่าน!!
ซึ่งเป็นการกระทำทั้งฝั่งไทย และฝั่งกัมพูชา ที่ปฏิบัติตามคำสั่งปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา บ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ทั้งจุดผ่านแดนถาวร และจุดผ่อนปรนชายแดน และตลอดแนวทั้ง 18 แห่งในพื้นที่ 7 จังหวัด
แต่ถึงแม้ว่าด่านถาวร 5 ด่านที่อยู่ในความดูแลของกรมศุลกากรไม่มีปิด แต่จุดผ่อนปรนแม้จะปิดแต่ยังเปิดช่องให้ผู้คนสามารถเดินทางข้ามผ่านแดนได้ตามช่วงเวลาที่ประกาศไว้ ยกเว้นสินค้า ซึ่งจะไม่สามารถผ่านได้ แน่นอนผลกระทบที่ตามมาจะเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการรายเล็กที่ไม่สามารถขนส่งสินค้าผ่านจุดผ่อนปรมได้
ทั้งนี้ นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ท่าทีของหอการค้าไทย สนับสนุนความถูกต้องยึดความมั่นคงและอธิปไตย ซึ่งภาคเอกชนโดยรวมยังไม่กังวลต่อการค้าและการลงทุนโดยภาพรวม เนื่องจากการส่งออกของไทยมีหลายช่องทาง อีกทั้งประเทศติดชายแดนไทยสินค้าไทยยังเป็นที่นิยมและผู้บริโภคติดแบรนด์สินค้าไทย ด้านแรงงานสามารถหาแรงงานอีกหลายประเทศมาทดแทน ส่วนที่ได้ผลกระทบโดยตรง ที่น่าห่วง คือ การค้ารายย่อยๆ ที่มีการค้ารายวันตามชายแดน
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวถึงสถานการณ์การค้าชายแดนไทยกับกัมพูชา ว่า กรมฯติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมีการประชุมหารือกับตัวแทนหอการค้าไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยต่อเนื่อง ซึ่งหากสถานการณ์หน้าด่านชายแดนติดกับกัมพูชายังผันผวนยืดเยื้อ ก็จะประชุมอีกครั้งในสัปดาห์หน้า
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้น ภาคเอกชนยังยืนยันว่าการขนส่งสินค้าโดยภาพรวมยังปกติ อาจมีบางช่วงที่มีติดในเรื่องเวลาเปิดหรือปิด แต่หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ ภาคเอกชนอาจต้องมีการปรับการบริหารจัดการเรื่องขนส่ง ส่วนตัวเลขการค้าชายแดนอยู่ระหว่างการเก็บข้อมูล
เช่นเดียวกับ นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมฯติดตามสถานการณ์การค้าในภาคตะวันออก ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกรที่อยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลไม้ โดยเฉพาะในพื้นที่จ.จันทบุรี พบว่า การซื้อขายยังเป็นปกติ การส่งออกทุเรียนและมังคุดคัดเกรดไปจีนสามารถส่งออกได้ และอยู่ในช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยวคาดว่าผลผลิตจะหมดภายในสิ้นเดือนมิ.ย.นี้ โดยกรมฯได้เร่งเข้าไปประสานในพื้นที่ เพื่อนำออกกระจายนอกแหล่งผลิต ภายในประเทศ ซึ่งตลาดภายในประเทศสามารถรองรับผลผลิตในส่วนนี้ได้เพื่อช่วยระบายผลผลิตและรักษาเสถียรภาพราคา
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานองค์การนายจ้างผู้ประกอบการการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวว่า ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ เดือนเม.ย. 2568) แรงงานกัมพูชาที่ถูกกฎหมายในไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 515,350 คน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 14% ของแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้านใน 3 สัญชาติหลัก คือ เมียนมา 2.994 ล้านคน หรือ 79% และ ลาว 282,000 คน
หากรวมแรงงานผิดกฎหมาย คาดว่าแรงงานกัมพูชาทั้งหมดในไทยอาจสูงถึงประมาณ 800,000 คน การที่รัฐบาลกัมพูชาบอกว่าจะดึงคนกลับง่ายๆ ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะแรงงานกลุ่มนี้ส่งเงินกลับประเทศคิดเป็นอัตราขั้นต่ำค่าแรงครึ่งหนึ่งประมาณ 43,600 ล้านบาทต่อปี ซึ่งอาจจะมากกว่านี้ด้วยซ้ำ หากแรงงานกัมพูชากลับไปจะไม่มีงานทำและจะกลายเป็นปัญหาสังคมที่สำคัญของกัมพูชาเอง
ขณะที่ รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า หากปิดด่าน 100% เต็ม ก็มองว่าจะเกิดความเสียหาย คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจอยู่ที่หลัก 10,000 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ต้องประเมินสถานการณ์ต่อไป ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะยืดเยื้อแค่ไหน แต่ในเบื้องต้นหอการค้าไทยมองว่าจะกระทบต่อเศรษฐกิจไม่มาก ซึ่งยังไม่มีผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจมหภาครุนแรง แต่จะเป็นการส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่มากกว่า
ปัจจุบันความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา ยังมีต่อเนื่อง และหากยังไม่จบในเร็ววัน เศรษฐกิจชายแดนของ 2 ประเทศ ได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ รวมถึงความเดือดร้อนของประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งได้แต่หวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายโดยเร็วเพื่อให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ก่อนที่จะหมดตัว!!!