เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ว่า รัฐบาลห่วงใยความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่อาจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน รัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และสั่งให้ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งเบนซินและดีเซล พร้อมใช้กลไกกองทุนรักษาเสถียรภาพด้านราคาภายในประเทศ รวมถึงบริหารจัดการน้ำมันสำรองในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเร่งดำเนินการอย่างจริงจังกับปัญหาขยะอุตสาหกรรมและการลักลอบนำเข้าวัตถุอันตรายภายใต้ฉากหน้าของธุรกิจรีไซเคิล โดยทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม ได้บุกเข้าตรวจสอบโรงงานลักลอบประกอบกิจการผิดกฎหมายในพื้นที่จ.ปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา พบว่ามีการซุกซ่อนขยะพิษ วัตถุอันตราย และลักลอบคัดแยกเศษอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับอนุญาต รวมกว่า 8,000 ตัน และยึดอายัดของกลาง เสนอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับดำเนินการเป็นคดีพิเศษ กรณีบริษัท เซ็ตเมทอลจ.ปราจีนบุรี พบการฝ่าฝืนคำสั่งปิดกิจการ แอบเดินเครื่องรีไซเคิลสายไฟและลักลอบปล่อยเช่าพื้นที่ให้ชาวต่างชาติใช้เป็นศูนย์กลางคัดแยกขยะ ส่วนกรณี หย่งถังไทย จ.ฉะเชิงเทรา ตรวจพบการนำเข้าเศษโลหะและแบตเตอรี่ปนเปื้อนจากต่างประเทศ ภายใต้ฉากหน้าการแจกจ่ายดินให้ชาวบ้าน ทั้งนี้มีข้อมูลว่าเป็นขบวนการทุนเทาจากต่างชาติที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐานแยกขยะ โดยไม่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และยังทิ้งภาระมลพิษไว้ในประเทศ
“รัฐบาลขอเน้นย้ำว่า จะไม่ยอมให้ประเทศไทย กลายเป็นถังขยะของโลก และจะไม่ยอมให้ประชาชนต้องรับภาระราคาพลังงานที่ผันผวนจากปัจจัยภายนอก รัฐบาลมีแผนและมาตรการพร้อมรับมือทั้งสองด้านอย่างรอบคอบ ทันสถานการณ์ และเด็ดขาด เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชน และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า รัฐจะดำเนินการทุกอย่างด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และยึดมั่นในประโยชน์สูงสุดของประชาชนคนไทยเป็นหลัก” น.ส.ศศิกานต์ กล่าว
