สถานีคิดเลขที่ 12 : ‘สู้ต่อไป แพทองธาร’ โดย ปราปต์ บุนปาน
สถานีคิดเลขที่ 12 June 23, 2025 09:02 AM

หลังวิกฤตการณ์ทางการเมืองและการสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนไปอย่างมหาศาล เพราะกรณีคลิปเสียงสนทนากับ “สมเด็จฯฮุน เซน”

คนธรรมดาส่วนใหญ่มองว่าทางออกจากปัญหาดังกล่าวของนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” นั้นมีอยู่สองทาง ไม่ “ลาออก” ก็ “ยุบสภา”

น่าสนใจว่า สุดท้าย นายกฯ และพรรคเพื่อไทย กลับเลือก “หนทางที่สาม” ซึ่งแลดูตีบ แคบ ลีบเรียว ลดเลี้ยวที่สุด นั่นคือ การยืนหยัดยืนกรานที่จะดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศต่อไป รัฐบาลชุดเดิมยังยอมไม่ไปไหน โดยจะปรับแค่ ครม. ภายหลังการลาออกของพรรคภูมิใจไทย

ในระยะสั้น การยืนยันจะ “สู้ต่อ” นั้นเป็นแนวทางที่คล้ายจะบอบช้ำ สั่นสะเทือน และเกิดความผันผวนปรวนแปรน้อยที่สุด

แต่นี่ก็เป็นหนทางอันเต็มไปด้วยความเสี่ยง ภยันตราย และไม่มั่นคงอย่างยิ่ง

เพราะนับจากนี้ นายกฯ และพรรคเพื่อไทย จะต้องเจอ “แรงบีบ” จากนักการเมืองด้วยกัน ทั้งที่ “ทำเป็นดีด้วย” ณ ตอนนี้ และที่ “ตัดญาติขาดมิตร” กันไปเรียบร้อยแล้ว เช่น พรรคภูมิใจไทย เป็นต้น

“แรงเสียดสี” จากบรรดาคู่แค้นเก่าของตระกูลชินวัตร ซึ่งประเดิมรวมพลังกันไปเรียบร้อยแล้ว และรอคอยวันลงถนน หากสถานการณ์สุกงอมเต็มที่

“แรงเสียดทาน” จากกองทัพ (ฝั่งตรงข้ามกับเรา?) ที่โกยคะแนนจากประชาชนซึ่งกำลังอินกับกระแสชาตินิยมไปเยอะ และมาได้แต้มต่อเพิ่มเติมจากการปล่อยคลิปเสียงบทสนทนาระหว่างผู้นำไทย-กัมพูชา

“แรงกดดัน” จากกระบวนการนิติสงครามที่คงจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับ

และ “แรงปะทะ” จากทางกัมพูชาที่ยังไม่จางหายไปไหนในเร็ววัน มิหนำซ้ำ อาจปะทุขึ้นได้ตลอดเวลา

พันธกิจที่ผูกมัดนายกรัฐมนตรีแพทองธารและรัฐบาลเพื่อไทย เมื่อเลือกหนทาง “สู้ต่อ” ก็คือ จากที่เคยมีภาพลักษณ์ “ติดลบ” อยู่เดิมตั้งแต่ช่วงจัดตั้ง “รัฐบาลข้ามขั้ว” มาสู่การ “ติดลบมหาศาล” ในกรณีล่าสุด

ถ้า “รัฐบาลแพทองธาร-เพื่อไทย” จะสามารถอยู่รอดปลอดภัยไปถึงปี 2570 ได้ สิ่งที่ต้องทำไม่ใช่แค่การกู้คืนภาพลักษณ์ให้กลับมาตั้งหลักที่ “ศูนย์” แต่ต้องเร่งพลิกสถานการณ์ของตนเองให้กลายเป็น “บวก”

ส่วนจะทำอย่างไร ด้วยผลงานอะไรนั้น ต้องยอมรับว่ายังมองไม่ออก

พันธกิจถัดมา คือ ในกระบวนการ “สู้ต่อ” คราวนี้ นายกรัฐมนตรีต้องมีอำนาจมากขึ้น รัฐบาลต้องมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันยิ่งขึ้น

ไม่ใช่ “สู้ต่อ” แต่นายกฯ ถูกรุมบีบรุมกดดัน จนไม่เหลืออำนาจอะไรเลย ส่วนรัฐบาลก็ยังมีสถานะเป็นแค่ “เวทีต่อรองผลประโยชน์” ของบรรดาพรรคการเมืองขนาดกลางขนาดเล็กที่ขยายร่าง-พองตัวใหญ่ขึ้นกว่าความเป็นจริง ภายหลังการถอนตัวของภูมิใจไทย

พันธกิจท้ายสุด คือ นายกฯ และรัฐบาลต้องประคับประคองปกปักรักษาระบอบประชาธิปไตยเอาไว้ให้ได้

แม้หากมองจากประสบการณ์ชุดเดิม ซึ่งอ้างอิงกับการเมืองไทยในทศวรรษ 2540-2550 การ “ยุบสภา” อาจก่อให้เกิดสภาวะ “สุญญากาศ” ที่เอื้อให้อำนาจนอกระบบเข้าแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดิน นำไปสู่การรัฐประหารยึดอำนาจโดยกองทัพ

แต่ในกฎกติกาใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 การที่นายกฯ และรัฐบาลเลือก “สู้ต่อ” โดยยังมีความเสี่ยงที่จะต้องพ้นตำแหน่ง จากกระบวนการนิติสงครามหรือการถูกบีบให้ลาออกได้ทุกเมื่อ ก็อาจเปิดทางให้เกิดการ “ยึดอำนาจแบบเนียนๆ” หรือ “รัฐประหารที่มีความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ” ได้เช่นกัน

หากพิจารณารายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่หลงเหลืออยู่ให้ดี ย่อมพบ “เงื่อนไขอันตราย” นี้ปรากฏชัดขึ้นมา

คำถามคือพรรคเพื่อไทยเตรียมแก้เกมดังกล่าวไว้อย่างไร?

ทั้งหมดข้างต้นเป็นอุปสรรคขวากหนามที่ “แพทองธาร ชินวัตร” และคณะ ต้องเหยียบย่างลงไป

เป็นการ “สู้ต่อไป” โดยยังไม่มีวี่แววจะพลิกเกมกลับมาเป็น “ผู้ชนะ” ได้

ปราปต์ บุนปาน

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.