ยาโบราณพันปีพิฆาต “ซูเปอร์บัค” นักวิทย์อึ้ง สูตรตาแห้งยุคแองโกล-แซกซอน ฆ่าเชื้อดื้อยา MRSA ได้ถึง 90%

บีบีซี รายงาน นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม ประเทศอังกฤษ เผยผลวิจัยสุดเหลือเชื่อ หลังทดลองสร้างตำรับยารักษาโรคตาจากต้นฉบับโบราณอายุ 1,000 ปีของชาวแองโกล-แซกซอน พบว่าสามารถฆ่าเชื้อดื้อยาระดับซูเปอร์บัค อย่าง MRSA ได้ถึง 90% สร้างความหวังใหม่ในการต่อสู้กับปัญหาดื้อยาปฏิชีวนะที่โลกกำลังเผชิญ

สูตรยาดังกล่าวถูกค้นพบในหนังสือโบราณชื่อ Bald’s Leechbook ถูกเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติอังกฤษ โดย ดร.คริสตินา ลี ผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรโบราณจากมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม เป็นผู้แปลตำรับยาหยอดตาโบราณ ที่ประกอบด้วยกระเทียม หัวหอม หรือกระเทียมหอม ไวน์อังกฤษ และน้ำดีจากวัว

คณะนักจุลชีววิทยาได้นำสูตรนี้มาผสมตามขั้นตอนอย่างพิถีพิถัน แล้วนำไปทดลองกับแบคทีเรีย MRSA (methicillin-resistant Staphylococcus aureus) ซึ่งเป็นหนึ่งในเชื้อดื้อยาที่แพทย์สมัยใหม่เกรงกลัวมากที่สุด

ผลปรากฏว่า “ยาตำรับนี้สามารถฆ่าเชื้อ MRSA ได้ถึง 90%” แถมยังมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้ส่วนผสมเดี่ยว ๆ แยกกันอีกด้วย

ดร.เฟรยา แฮร์ริสัน หัวหน้าทีมวิจัยกล่าวว่า “เราคาดหวังเพียงแค่จะเห็นฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียเล็กน้อย แต่ผลที่ได้กลับ ‘เหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง’” เชื่อว่าอานุภาพของยามาจากปฏิกิริยาร่วมของส่วนผสม ไม่ใช่สารเดี่ยวตัวใดตัวหนึ่ง

ทีมงานยังได้ทดลองแยกส่วนผสมแต่ละชนิดมาทดสอบเปรียบเทียบ และยืนยันว่า เมื่อรวมทุกอย่างตามสูตรจึงจะได้ผลลัพธ์สูงสุด

สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ ดร.ลี ชี้ว่า หนังสือตำราแพทย์ยุคกลางหลายเล่มมีเนื้อหาที่น่าจะเกี่ยวกับการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแพทย์โบราณอาจเข้าใกล้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่มากกว่าที่คิด ในเรื่องการสังเกต ทดลอง และบันทึกผล

วิธีทำยาตำรับ 1,000 ปีนี้ (ห้ามลองเองที่บ้าน)

1. ใช้กระเทียม และหัวหอมหรือกระเทียมหอมอย่างละเท่า ๆ กัน

2. สับและบดให้ละเอียดในครกนาน 2 นาที

3. เติมไวน์อังกฤษ 25 มล. จากไร่องุ่นโบราณใกล้กลาสตันเบอร

4.ละลายเกลือน้ำดีวัวในน้ำกลั่น เติมลงไปในส่วนผสม

5. แช่ไว้ในอุณหภูมิ 4°C เป็นเวลา 9 วัน

แม้จะเป็นสูตรยาโบราณ แต่ความแม่นยำในการระบุสัดส่วน เวลา และกระบวนการเก็บรักษา ทำให้นักวิจัยเชื่อว่าแพทย์ยุคแองโกล-แซกซอนมีหลักคิดแบบวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว

องค์การอนามัยโลก (WHO) เคยเตือนว่า เชื้อดื้อยาจะกลายเป็นวิกฤตสุขภาพใหญ่ในศตวรรษที่ 21 การค้นพบนี้จึงจุดประกายความหวังใหม่ว่า บางที “ภูมิปัญญาโบราณ” อาจมีบทบาทสำคัญในการช่วยชีวิตคนยุคปัจจุบัน

ผลการวิจัยชุดนี้จะถูกนำเสนออย่างเป็นทางการในการประชุมใหญ่ประจำปีของสมาคมจุลชีววิทยาแห่งสหราชอาณาจักร ที่เมืองเบอร์มิงแฮม ในเร็ว ๆ นี้