ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ทั้งมลพิษทางอากาศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติที่ร่อยหรอลงอย่างรวดเร็ว Greentech หรือเทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียว ที่ต้องลงมือปฏิบัติจริงในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน องค์กรทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ ต่างเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาและใช้นวัตกรรมสีเขียว เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลโลกใบนี้
ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ที่จะช่วยกันจุดประกาย สร้างสรรค์ และผลักดัน Greentech ให้กลายเป็นกลไกหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจ ควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการฟื้นฟูทรัพยากรโลก และวางรากฐานสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต
ล่าสุด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ร่วมกับสถาบันคาร์บอนเพื่อความยั่งยืน (CBiS) ภายใต้การสนับสนุนของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนา “นวัตกรรมสีเขียว: Green Innovation Forum” พร้อมเปิดตัวหลักสูตร “Greentech & Innovation Program เทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียว” ที่เน้นเชื่อมโยงความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนสตาร์ตอัป กิจการเพื่อสังคม และผู้ประกอบการไทยให้เป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียว เพื่อยกระดับและพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจอย่างยั่งยืน
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันกระแสของโลกกำลังให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลจากปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมทั้งรายใหญ่และรายย่อย ส่งผลให้ภาคธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม ขณะเดียวกัน ความต้องการเทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียว รวมถึงบุคลากรที่มีทักษะด้านนี้ หรือที่เรียกว่า Green Talent ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดร.กริชผกา กล่าวถึงข้อมูลตลาดแรงงานล่าสุด พบว่า ยังขาดแคลนผู้ที่มีทักษะด้านนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาองค์กรให้สอดรับกับมาตรฐานด้านความยั่งยืน ตอบสนองทั้งความต้องการของตลาดและข้อกำหนดใหม่ ๆ ในการดำเนินธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคการเงิน ทั้งนี้จากข้อมูลเศรษฐกิจปี 2567 ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีการขยายตัวถึงร้อยละ 3.1 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34.9 ของ GDP คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 6.48 ล้านล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเอสเอ็มอีมีบทบาทสำคัญต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและความต้องการคาร์บอนเครดิตไม่น้อยไปกว่าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
การผลักดันการเรียนรู้นวัตกรรมสีเขียว ดร.กริชผกา กล่าวว่า ได้มีการพัฒนาหลักสูตร Greentech & Innovation Program ซึ่งออกแบบมาเพื่อส่งเสริมความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียว โดยมีเนื้อหาครอบคลุม 8 หัวข้อ เช่น ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียว ความสำคัญของคาร์บอนฟุตพรินท์ต่อธุรกิจ การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและการบูรณาการยานยนต์ไฟฟ้า การจัดการของเสียและเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงการจัดการระบบน้ำ เกษตร อาหาร และการพัฒนาไปสู่อนาคตแห่งความยั่งยืน โดยโครงสร้างของแต่ละบทประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ Academic Study ซึ่งเป็นการเรียนรู้เชิงลึกโดยอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ และ Case Study จากผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จจริงในภาคสนาม ใช้เวลาเรียนทั้งหมด 12 ชั่วโมง เนื้อหาถูกออกแบบให้สั้น กระชับ เข้าใจง่าย และเหมาะกับพฤติกรรมผู้เรียนยุคใหม่ที่มีข้อจำกัดด้านเวลา การเรียนออนไลน์ยังช่วยลดภาระด้านการเดินทางและสามารถเรียนได้จากทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ที่สำคัญหลักสูตรนี้ไม่ได้จำกัดเพียงภาคธุรกิจในประเทศเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับสากล เช่น การร่วมมือกับองค์การยูนิโด้ (UNIDO) ที่เข้ามาช่วยสะท้อนให้เห็นว่าแนวคิดกรีนเทคโนโลยีที่มีความสำคัญระดับโลก โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ก็ได้เข้ามาสนับสนุน ด้านองค์ความรู้และหลักสูตร เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจถึงทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตและเกณฑ์ที่ควรใช้ในการพัฒนาหลักสูตรยุคใหม่ หลักสูตรนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงการเชื่อมโยงของระบบนิเวศนวัตกรรม ซึ่งเป็นการประสานความร่วมมือของทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนแนวคิดสีเขียวให้เกิดขึ้นจริง
“เป้าหมายสำคัญของหลักสูตรนี้คือการทำให้ผู้ประกอบการตระหนักรู้และลงมือทำ อย่างจริงจัง เพราะต่อให้มีความรู้มากเพียงใด หากไม่เริ่มต้นเปลี่ยนแปลง ก็ไม่อาจปรับตัวให้ทันต่ออนาคต โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลเริ่มส่งเสริมแนวคิด กรีนปลายน้ำ หรือ Green End-market ที่กำลังจะกลายเป็นข้อกำหนดสำคัญในระดับประเทศและระดับโลก” ดร.กริชผกา กล่าว
ด้าน รศ.ดร.วิทยา สุวัณณโภประสิทธิ์ คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การร่วมมือครั้งนี้สอดคล้องกับพันธกิจขององค์กรที่มุ่งเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรทุกภาคส่วน ในด้านการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อร่วมผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์อย่างมีประสิทธิภาพ
“โดยคณะฯ มีผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาที่ร่วมกันพัฒนาหลักสูตร โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อเป้าหมายด้านความยั่งยืน อาทิ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในภาคอุตสาหกรรม การลดการใช้พลังงาน และการลดการปล่อยคาร์บอน รวมถึงการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยลดของเสียในครัวเรือน ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทั้งในชีวิตประจำวันและธุรกิจได้อย่างแท้จริงบางประเด็นยังเป็นเรื่องของการบูรณาการข้ามสาขา เช่น การผสานองค์ความรู้ทางวิศวกรรมกับแนวคิดด้านการบริหารจัดการ เพื่อสร้างรูปแบบการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่ม SME ที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสู่ Green Technology” คณบดี คณะวิศวฯ จุฬาฯ กล่าว
คณบดี คณะวิศวฯ จุฬาฯ กล่าวต่อว่า สำหรับคณะวิศวกรรมศาสตร์ ก็มีหลักสูตรด้าน Green Technology เฉพาะ และมีการจัดหารเรียนรูปแบบไมเนอร์ หรือวิชาเลือกย่อย เพื่อให้นิสิตจากหลากหลายสาขา เช่น วิศวกรรมเครื่องกล ไฟฟ้า หรือคอมพิวเตอร์ สามารถเข้าถึงและนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้ทันทีหลังจบหลักสูตร เพราะเชื่อว่าหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงคือ การพัฒนาคน ดังนั้นการมีหลักสูตรที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น ก็จะช่วยให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีสีเขียวไม่จำกัดเฉพาะในแวดวงวิศวกรรม แต่ขยายไปสู่ประชาชนทั่วไปได้ด้วย
ดร.นรินทร์ เผ่าวณิช รองผู้ว่าการเชื้อเพลิง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ได้กล่าวถึงบทบาทของนวัตกรรมสีเขียวที่สำคัญต่อการลดคาร์บอนไดออกไซด์ว่า ที่ผ่านมาได้นำเทคโนโลยีฟอสซิลมาใช้ในโครงการต่าง ๆ แต่ปัจจุบันเรากำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่แนวทางใหม่ที่ใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้า ที่ได้ทำไปแล้วที่เขื่อนสิรินธร และได้มีการร่วมมือกับจุฬาฯ เพื่อพัฒนาโครงการต้นแบบที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เช่น โครงการเกี่ยวกับการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากไฮโดรเจนหรือโซลาร์เซลล์ โดยเน้นการลดต้นทุนและยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานที่สุด เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดของเศรษฐกิจหมุนเวียน
อย่างไรก็ตามในอุตสาหกรรมการใช้ก๊าซธรรมชาติก็ยังบทบาทอยู่ถึง 60% แต่ได้มีการมองถึงการพัฒนาก๊าซธรรมที่ผสมกับไฮโดรเจน เนื่องจากลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาการใช้งาน ดังนั้น นวัตกรรม จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับนักวิจัย นักศึกษา และภาคประชาสังคม ที่จะช่วยกันพัฒนาแนวทางใหม่ ๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเทคโนโลยีขนาดใหญ่เสมอไป แต่อาจเป็นไอเดียเล็ก ๆ ที่ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม และสามารถขยายผลได้จริง
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนสมัครเรียนหลักสูตรเทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียว Greentech & Innovation ได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ที่แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ด้านนวัตกรรมด้วยตนเอง NIA MOOCs หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://moocs.nia.or.th/greentech-and-innovation