นายใหญ่ค่ายกระทิงดุ “สเตฟาน วิงเคิลมันน์” ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี เปิดโอกาสหลังจากมาร่วมงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ลัมโบร์กินี เทเมราริโอ (Lamborghini Temerario) รถปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่เปิดตัวครั้งแรกในไทยและครั้งแรกของภูมิภาคอาเซียน
ครั้งนี้ “วิงเคิลมันน์” ให้สัมภาษณ์ พูดคุยถึงทิศทางการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยเฉพาะเทรนด์ความนิยมของลูกค้าลัมโบร์กินี จะพบว่ามีความหลากหลายมากขึ้น และขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศและภูมิภาค จะเป็นอย่างไรไปติดตามกัน
จากการเก็บข้อมูล เราพบว่ากลุ่มลูกค้าของลัมโบร์กินี มีความหลากหลายมากขึ้น และก็ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศและภูมิภาค อย่างเช่น กลุ่มลูกค้าในสิงคโปร์, ฮ่องกง, ออสเตรเลีย : ลูกค้าส่วนใหญ่มาจากกลุ่ม Corporate และเจ้าของธุรกิจที่มั่นคง
ส่วนในญี่ปุ่น, ไทย, จีน กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของธุรกิจและนักลงทุนที่มีความมั่นคงระดับหนึ่ง ขณะที่อินเดีย กลุ่มลูกค้าที่โดดเด่นคือ กลุ่ม Startup หรือผู้ประกอบการรุ่นใหม่
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือ ลัมโบร์กินี เราสามารถเข้าถึงและดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีอายุน้อยลงได้อย่างชัดเจน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์ด้านการตลาดและความร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลก เพื่อสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น
หากจะลงลึกถึงช่วงอายุเฉลี่ยของกลุ่มลูกค้า เราพบว่ามีอายุเฉลี่ยราว 44 ปี และในจีน เป็นประเทศที่มีสัดส่วนลูกค้าอายุน้อยที่สูง รวมถึงไทยด้วย และในจำนวนนี้เราจะพบว่า เป็นกลุ่มลูกค้าผู้ขับขี่ผู้หญิงค่อนข้างสูง โดยมีอายุผู้ขับขี่ผู้หญิงเฉลี่ยที่ 41 ปี (Urus มีผู้ขับขี่หญิง 23%, Revuelto 18%)
สำหรับยอดขายในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จะเห็นว่า 3 ตลาดที่มียอดขายสูงสุด คือ 1.ญี่ปุ่น 2.เกาหลี และ 3.จีน
ขณะที่ประเทศไทยนั้น ยอดขายอยู่ใน 7 แม้ว่าตลาดของเราจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ถือเป็นตลาดที่น่าพอใจ เพราะไทยถือเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในด้านผลการตอบรับของผู้บริโภค และสามารถรักษาฐานลูกค้าไว้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า High Network
ปัจจุบันตลาดซูเปอร์สปอร์ตคาร์ ประกอบด้วย 3 เทรนด์สำคัญ ได้แก่ Digitalization, Electrification และ Automation สำหรับลัมโบร์กินี มองว่า Digitalization เป็นนวัตกรรมที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมยานยนต์ ขณะเดียวกันการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ เป็นประเด็นที่ลัมโบร์กินีให้ความสำคัญ จึงนำมาสู่การ Electrify ยานยนต์ให้เป็นไฟฟ้ามากขึ้น แต่เรายังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น ระเบียบข้อบังคับด้วย
ส่วนเทรนด์ Automation ที่ลัมโบร์กินีไม่ได้โฟกัสมากนัก เนื่องจากลัมโบร์กินีมุ่งมั่นส่งมอบประสบการณ์การขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ และเพื่อให้ผู้ขับได้สัมผัสถึงประสิทธิภาพอันทรงพลัง การได้เป็นคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเอง จึงเป็นหนึ่งในสุนทรียภาพแห่งการขับขี่
เราไม่รีบร้อนในการเป็นแบรนด์แรก แต่เราต้องการเป็นแบรนด์ที่ดีที่สุดเมื่อมีการนำนวัตกรรมเข้ามา การผสานนวัตกรรมไฟฟ้าเข้ามาในซูเปอร์สปอร์ตคาร์ของลัมโบร์กินีจะต้องเป็นการยกระดับประสบการณ์การขับขี่ที่มอบสมรรถนะที่เหนือกว่า ไม่ทิ้งประสิทธิภาพอันทรงพลัง ประสบการณ์ขับขี่ที่เร้าใจ และลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกไปพร้อมกัน
อย่างไรก็ตาม เรายังมั่นใจในจุดแข็ง และความเชื่อว่า ลัมโบร์กินีคืองานฝีมือ (Craftsmanship) ที่ “Made in Italy” ที่ตอบโจทย์ลูกค้า ทั้งเน้นงานฝีมือและวิศวกรรมขั้นสูงของรถยนต์อิตาลี และมีนโยบายชัดเจนว่า จะไม่มีแผนงานขยายฐานการผลิตนอกประเทศอิตาลี
แต่ลัมโบร์กินี เราเป็นแบรนด์ที่ทำการตลาดทั่วโลก พาร์ตเนอร์ในแต่ละตลาดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
และในฤดูร้อนนี้ เราน่าจะมีความชัดเจนออกมา
เศรษฐกิจมีขึ้นและลงเป็นเรื่องปกติ และลัมโบร์กินีผ่านประสบการณ์การผันผวนมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตขาดแคลนชิป และสงครามต่าง ๆ
ภายใต้กลยุทธ์สำคัญของลัมโบร์กินี คือ ขายในจำนวนต่ำกว่าความต้องการ และมี Order Bank เป็นจำนวนสูงผู้จองรถลัมโบร์กินีต้องรอราว 18 เดือน ทำให้แบรนด์มีกันชนทางเศรษฐกิจที่แข็งแรง บวกกับหลังโควิด ลูกค้าจำนวนมากมีแนวคิด “YOLO” (You Only Live Once) หรือ คุณมีชีวิตอยู่เพียงครั้งเดียว กลายเป็นปัจจัยช่วยผลักดันยอดขาย
ไตรมาสแรกที่ผ่านมา ลัมโบร์กินีส่งมอบรถไป 2,967 คัน แต่อาจจะเร็วเกินไปที่จะคาดการณ์ภาพรวมในปีนี้ได้
แน่นอนว่าสหรัฐอเมริกา เป็นตลาดสำคัญของเรา มีสัดส่วนถึง 30% จากมาตรการสงครามภาษีทรัมป์กระทบต่อแบรนด์อยู่พอสมควร แต่ลัมโบร์กินีเตรียมแผนและกลยุทธ์การรับมือไว้แล้ว และจะมีการแถลงเกี่ยวกับมาตรการรับมือภายในเดือนกรกฎาคมนี้
ส่วนการประเมินปีหน้านั้น ถือว่ามีเสถียรภาพ แต่ยังคงต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และปัจจัยภายนอกต่าง ๆ
ลัมโบร์กินีก็ต้องยังคงบริหารจัดการอย่างระมัดระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด