จะฝากอนาคตการทำงานของเราไว้กับใคร ?
SUB_BUA June 29, 2025 09:06 AM
คอลัมน์ : SD Talk ผู้เขียน : ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์http://tamrongsakk.blogspot.com

ผมเขียนเรื่องนี้ เพราะไปได้ยินคำถามหนึ่งว่า…

“เป็นพนักงานในบริษัท Outsource แห่งหนึ่งมา 7 ปีแล้ว ซึ่งบริษัท Outsource แห่งนี้ ก็เพิ่งประมูลได้งานจากบริษัทผู้ว่าจ้างให้ส่งพนักงาน Outsource ไปทำงานในบริษัทลูกค้ารายนี้ แต่เนื่องจากบริษัท Outsource ต้องแข่งขันในการประมูลงานกับรายอื่น ๆ จึงทำให้ต้องเสนอราคา โดยตัดราคากับคู่แข่ง ก็เลยทำให้บริษัท Outsource ต้องมาขอลดเงินเดือนพนักงาน Outsource ลง พนักงาน Outsource ก็เลยมีคำถามว่าจะยอมลดเงินเดือนลงดีหรือไม่”

ก็คงมีคำตอบและข้อคิดอย่างนี้นะครับ

1.การลดค่าจ้างลูกจ้างลงนั้น ถ้าลูกจ้างไม่ยินยอม นายจ้างไม่สามารถลดค่าจ้างลงได้ เพราะผิดกฎหมายแรงงาน ดังนั้น ถ้าพนักงาน Outsource ไม่ยินยอม แล้วทางบริษัท Outsource ต้นสังกัดมาลดเงินเดือนลง ก็สามารถไปร้องเรียนกับแรงงานเขตพื้นที่ ให้เขาเข้ามาตรวจสอบได้ครับ

2.พนักงาน Outsource รายนี้ คงต้องหันกลับมาถามตัวเองดูว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้ เราอยู่กับบริษัท Outsource นี้ มาตั้ง 7 ปีแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่เราดีขึ้นหรือเปล่า, เรามีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นหรือไม่ เมื่อเทียบกับเมื่อ 7 ปีที่แล้ว, เราถนัดหรือเราเก่งมีความสามารถในเรื่องไหนบ้าง, เรากำลังฝากอนาคตฝากชีวิตความก้าวหน้าของเราไว้กับบริษัท Outsource ไว้เพียงเท่านั้นหรือ ?

จากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา ผมมักจะพบว่า คนจำนวนไม่น้อย ที่ไม่เคยวางแผนชีวิตให้กับตัวเอง

แต่จะคิดวางแผนการทำงาน (หรือบ่อยครั้งก็ไม่เคยวางแผนการทำงานด้วยซ้ำไป) ไปแบบวันต่อวัน ว่าวันนี้จะต้องทำอะไร พรุ่งนี้ต้องทำอะไร ฯลฯ

ไม่เคยแม้แต่จะทบทวนตัวเองว่า เรามีความสามารถ มีความสนใจ มีความถนัดในเรื่องไหน ที่จะพัฒนาให้มันเก่งหรือดีมากขึ้น เพื่อที่จะได้กลายเป็นอนาคต ที่มั่นคงของตัวเราเอง

พูดง่าย ๆ คือจะฝากอนาคตของตัวเองไว้กับบริษัทบ้าง, ฝากไว้กับหัวหน้าบ้าง, ฝากไว้กับโชคชะตาฟ้าลิขิตบ้าง, ฝากไว้กับลูกเทพบ้าง, หมอดูบ้าง ฯลฯ

แต่ไม่เคยคิดอยากจะฝากอนาคตของตัวเองไว้กับตัวเอง !

พอไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง, ไม่ก้าวหน้า, ไม่ได้รับการปรับเงินเดือนให้สูงขึ้น หรืออย่างในกรณีนี้ คือถูกลดเงินเดือนลง ก็จะมาคิดน้อยอกน้อยใจว่า ทำไมเราไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง, ทำไมหัวหน้าไม่สนับสนุนเราให้เลื่อนขึ้นมา, ทำไมเราได้ขึ้นเงินเดือนน้อยกว่าเพื่อน ๆ หรือทำไมบริษัทถึงมาลดเงินเดือนเราลง ฯลฯ

ถ้ายังมีวิธีคิดแบบนี้ก็บอกได้ว่า เรากำลังฝากอนาคตของเราไว้ที่คนอื่นนะครับ !

แทนที่จะเอาเวลามานั่งคิดน้อยอกน้อยใจ หรือจิตตก เพราะปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้เหล่านั้น เราสู้เอาเวลากลับมาคิดทบทวนในปัจจัยที่เราควบคุมได้ หรือตัวเราเองไม่ดีกว่าหรือครับ

เช่น…1.ทัศนคติคือทุก ๆ อย่างในชีวิต เราต้องมองหาโอกาสให้กับตัวเองอยู่เสมอ อย่ามัวแต่ทำงานประจำไปวัน ๆ โดยไม่มองหาโอกาสให้กับตัวเอง หรือมีทัศนคติอยู่แค่ว่า “อย่างเราคงจะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้หรอก เป็นพนักงานอย่างนี้ไปก็ดีอยู่แล้ว…” ถ้ามีทัศนคติแบบนี้ก็คงต้องฝากอนาคตไว้กับคนอื่นตลอดไปแหละครับ

2.สำรวจและค้นหาว่า ตัวเรามีความสามารถหรือความถนัด หรือความสนใจในเรื่องไหน แล้วเราจะพัฒนาความสามารถของเรายังไงให้เกิดประโยชน์กับตัวเราให้มากที่สุด เช่น ถ้าเราสนใจเรื่องของต้นไม้ก็คิดดูว่า ถ้าเราจะแปรความสนใจในเรื่องต้นไม้ให้เป็นธุรกิจ มันจะมีทางไหนได้บ้าง และจะทำได้อย่างไร, ช่องทางการขายมีทางไหนได้บ้าง เช่น การขายต้นไม้ โดยรีวิวต้นไม้แปลก ๆ (ที่เรามีความรู้ในเรื่องนี้ดี) ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น Facebook หรือทำ Blog รีวิวต้นไม้ ฯลฯ แล้วเราก็อาจจะเริ่มจากอาชีพเสริมเกี่ยวกับการขายต้นไม้ ดูว่ามันจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เป็นต้น

สิ่งสำคัญในข้อนี้คือ เราต้องหาสิ่งที่เราถนัด หรือความสามารถที่มีในตัวเราให้เจอเสียก่อน ว่าคือเรื่องอะไร แล้วจึงต่อยอดความสามารถนี้ออกไปให้เกิดประโยชน์กับตัวเรา ให้หาทางยืนขึ้นด้วยความสามารถของตัวเราเองที่มีอยู่

3.คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างมืออาชีพ หรือเป็นเจ้าของกิจการ ก็ล้วนแต่ต้องเป็นคนที่ค้นพบความสามารถของตัวเองได้เร็ว กระตือรือร้น ใฝ่เรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ คนเหล่านี้จะสร้างความแตกต่างระหว่างตัวเองกับคนรอบข้างได้ จะมีความแปลกใหม่ที่แตกต่าง (ในทางดี) อยู่เสมอ ๆ จนทำให้หัวหน้าผู้บังคับบัญชา คนรอบข้าง หรือลูกค้ายอมรับความสามารถที่แตกต่างจากคนอื่น ๆ ถึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น หรือลูกค้ายอมรับในผลิตภัณฑ์นั้น ๆ

ส่วนคนที่ทำงานแบบ Routine ไปแบบวัน ๆ ก็จะไม่มีความแตกต่างอะไรกับคนที่ทำงานในลักษณะเดียวกัน ดังนั้น ก็ไม่แปลกที่หัวหน้าจะไม่เห็นความสำคัญอะไร ที่จะต้องมาเลื่อนตำแหน่งอะไรให้กับคนที่ทำงานให้เสร็จสิ้นไปแบบวัน ๆ

4.พัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่มีความรู้รอบตัวดี เป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดแบบรู้ลึก-รู้จริง จะทำให้เกิดการยอมรับได้เสมอ

5.ต้องไม่ลืมความสำคัญของการประชาสัมพันธ์ หรือ PR (Public Relation) ตัวเองให้คนอื่น ๆ ได้รู้ด้วยว่า ตัวเองทำงานอะไรอยู่ มีความสามารถอะไรบ้าง เพราะคนหลายคนอาจจะทำงานเก่ง มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่เคย PR ให้คนอื่น ๆ ได้รู้เลยว่า เขามีผลงานอะไรบ้าง ก็จะกลายเป็นคนที่โลกลืมไปด้วย

แต่การ PR ตัวเองนี้ ผมไม่ได้หมายความว่า จะต้องอวดอ้างหรือขี้คุยนะครับ ต้องดูกาลเทศะที่เหมาะสม แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนที่ประสบความสำเร็จ จะต้องมีเพื่อบอกให้คนอื่น ๆ ได้รู้ว่า เขามีอะไรดีหรือเชี่ยวชาญชำนาญในเรื่องไหน เพื่อให้เกิดการยอมรับว่าเป็น Signature ของตัวเราเอง เช่น เมื่อพูดถึงกล้วยไม้ ก็จะต้องยอมรับความเชี่ยวชาญของท่านอาจารย์ระพี สาคริก เป็นต้น

เท่าที่ผมนึกออกในตอนนี้คงมีเท่านี้ แต่เชื่อว่าเมื่อท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้วท่านน่าจะได้ไอเดียและคิดต่อยอดในการพัฒนาตัวเองให้ไปสู่ความสำเร็จในอนาคตได้ โดยไม่ต้องฝากชีวิตเราไว้กับคนอื่นแล้วนะครับ

ถ้าคิดแบบบทเพลงก็ต้องบอกว่า “ชีวิตลิขิตเอง” หรือไม่งั้น ก็อย่างที่พระท่านบอกว่า “ตนเป็นที่พึงแห่งตน” นั่นแหละครับ

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.