ในวันที่เราทุกคนให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น การตระหนักรู้และเข้าใจโรคติดเชื้อที่มักเกิดขึ้นในกลุ่มเปราะบางอย่าง ‘เด็กเล็ก’ และ ‘ผู้สูงวัย’ ถือเป็นเรื่องจำเป็น โดยเฉพาะโรคที่แพร่ระบาดง่ายตามฤดูกาล เช่น อาร์เอสวีหรือ RSV(respiratory syncytial virus) และ ไข้หวัดใหญ่ (influenza) ที่แม้จะดูเหมือนโรคทั่วไป แต่กลับสร้างผลกระทบอย่างรุนแรง
เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงรุกในทุกช่วงวัย งาน Thailand Healthcare 2025 ภายใต้แนวคิด ‘A Better Life: สร้างสุขทุกช่วงวัย’ จึงได้จัดเวที Health Talk หัวข้อ “เด็กเล็กติดง่าย ผู้สูงวัยเสี่ยงหนัก : ทำความรู้จักอาร์เอสวีและไข้หวัดใหญ่” โดยได้รับเกียรติจาก ศ. พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล และรศ. พญ.โสภิดา บุญสาธร รีฟส์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล มาร่วมถ่ายทอดความรู้ แนวทางการดูแล และป้องกันโรคเหล่านี้ในกลุ่มเสี่ยง เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและปลอดภัย
ไข้หวัดใหญ่ : โรคสามัญที่อันตรายกว่าที่คิด
ศ. พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่ว่า สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยพบผู้ป่วยหลายแสนรายต่อปี โดยข้อมูลสองสัปดาห์ก่อนรายงานผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่มากกว่า 370,0000 ราย และเสียชีวิตแล้วกว่า 50 ราย หากดูในภาพรวมจะพบว่าใน 3 แสนกว่ารายมากกว่าครึ่งเป็นเด็ก
แม้ว่าเด็กจะติดเชื้อมากกว่า แต่สถิติการเสียชีวิตกลับพบมากในกลุ่มผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ ถุงลมโป่งพอง เพราะไข้หวัดใหญ่อาจกระตุ้นให้อาการเดิมกำเริบ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
“ในผู้สูงอายุมีหลายประเด็นที่ทำให้เวลาเป็นโรคติดเชื้อรุนแรงกว่าปกติ ประเด็นแรก คือ จาก ‘ภาวะภูมิคุ้มกันถดถอย‘ ภูมิคุ้มกันจะลดลงเมื่ออายุเยอะขึ้น ทำให้ติดเชื้อง่าย หรืออาการรุนแรงกว่าคนหนุ่มสาว รวมถึงผู้สูงอายุมักจะมีโรคร่วม เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคปอดเรื้อรัง เมื่อติดเชื้อจะทำให้โรคนั้น ๆ กำเริบได้”
ไข้หวัดใหญ่แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาตรงที่มีความรุนแรงมากกว่า ผู้ป่วยมักมีไข้สูงเฉียบพลัน อ่อนเพลียมาก อาจลงปอดและรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว
ข่าวดี คือ ไข้หวัดใหญ่มี ‘ยาต้านไวรัสจำเพาะ’ ที่สามารถใช้รักษาได้ แต่ต้องได้รับยาเร็วภายใน 48 ชั่วโมง สำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคร่วม แพทย์มักแนะนำให้รับยาเพื่อป้องกันอาการรุนแรง
นอกจากวิธีป้องกันโรคโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจง่าย ๆ ด้วยการใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่างแล้ว วัคซีนไข้หวัดใหญ่ถือเป็นเครื่องมือเสริมในการป้องกันโรค แม้จะไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ 100% แต่ช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดโอกาสนอนโรงพยาบาล และเสียชีวิตได้
“วัคซีนไข้หวัดใหญ่ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยการฉีดครั้งแรกในเด็กที่อายุต่ำกว่า 9 ปี ต้องฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน ผู้ใหญ่ฉีดครั้งแรก 1 เข็ม และฉีดต่อเนื่องทุกปี เป็นวัคซีนประจำปี และผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ควรพิจารณาฉีดวัคซีนขนาดสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกัน”
RSV: ไวรัสที่เด็กต้องติดทุกคน ?
รศ. พญ.โสภิดา บุญสาธร รีฟส์ อธิบายถึงโรคยอดฮิตในเด็กอย่าง RSV ว่า RSV หรือ respiratory syncytial virus เป็นไวรัสที่ระบาดในเด็กเล็ก โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนต่อฤดูหนาว (มิถุนายน–ตุลาคม) นอกจากติดจากละอองฝอยที่ไอจามใส่กัน ยังสามารถติดผ่านการสัมผัส โดยเชื้อ RSV อยู่ในพื้นผิวได้นาน ทำให้เด็กทุกคนมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
“เด็กทุกคนเกิดมาจะต้องเป็น RSV อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต ภายในอายุโดยทั่วไป คือ 5 ปีจะต้องเป็น แต่ส่วนใหญ่ 90% จะเป็นภายใน 2 ขวบปีแรก และพบว่าประมาณ 50% เกิดในขวบปีแรก”
ประมาณ 1 ใน 3 ของเด็กเล็กที่ติดเชื้อ RSV จะมีการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนล่าง ทำให้ ไอ หอบ เหนื่อย เสมหะเหนียว ไข้สูง และมักต้องนอนโรงพยาบาล 70–80% ของกรณีเหล่านี้ต้องการการพ่นน้ำเกลือ พ่นยา และดูดเสมหะ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ไม่สามารถขับเสมหะเองได้
แม้ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับเด็กทั่วไป แต่มีการใช้ ‘ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป’ ฉีดให้เด็กเพื่อป้องกันโรค โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ หรือเกิน 1 ขวบที่มีโรคประจำตัว ช่วยลดโอกาสเกิดโรค RSV ที่เป็นทางเดินหายใจส่วนล่างติดเชื้อได้ถึง 80%
เห็นได้ว่าทั้งไข้หวัดใหญ่และ RSV แม้จะดูเหมือนโรคทั่วไป แต่ในกลุ่มเสี่ยงกลับอันตรายถึงชีวิต หากเราช่วยกันดูแลสุขภาพ ป้องกันตั้งแต่วันนี้ จะลดความเสี่ยงทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้างได้มาก