‘แบงก์ชาติ’ เผยเศรษฐกิจไทยเดือน พ.ค. 68 ชะลอ หลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม-การท่องเที่ยว-การลงทุนภาคเอกชนแผ่ว สวนทางส่งออกฉลุย ชี้บาทแข็งค่าทิศทางเดียวกับภูมิภาค พร้อมจับตานโยบายการค้าประเทศเศรษฐกิจหลัก-พัฒนาการภาคท่องเที่ยว-การปรับตัวของภาคธุรกิจ-ความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์และปัจจัยในประเทศ
30 มิ.ย. 2568 – นางสาวปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือน พ.ค. 2568 ว่า ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากเดืิอนก่อนหน้า จากการผลิตภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากบางส่วนได้เร่งผลิตเพื่อเติมสินค้าคงคลังไปแล้วในเดือนก่อนหน้า และภาคบริการด้านการค้า การขนส่ง และการท่องเที่ยว รวมถึงมีปัจจัยชั่วคราวจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมัน
ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือน พ.ค. อยู่ที่ 2.3 ล้านคน ลดลง -2.9% จากเดือนก่อนหน้า ส่วนรายรับการท่องเที่ยว ลดลง -7% จากเดือนก่อนหน้า ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มเดินทางระยะไกล (long-haul) ที่มีค่าใช้จ่ายต่อทริปสูง เช่น ยุโรปไม่รวมรัสเซีย และออสเตรเลีย หลังเร่งไปมากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ อย่างไรก็ดี นักท่องเที่ยวระยะใกล้ (short-haul) เพิ่มขึ้นในหลายสัญชาติ อาทิ จีน มาเลเซีย และญี่ปุ่น ส่วนหนึ่งเพราะเป็นช่วงวันหยุดยาวในประเทศดังกล่าว ด้านการลงทุนภาคเอกชนลดลงหลังเร่งไปในเดือนก่อน ส่วนการบริโภคภาคเอกชนทรงตัวโดยหมวดสินค้าคงทนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่หมวดบริการปรับลดลง
สำหรับการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะหมวดอิเล็กทรอนิกส์ตามอุปสงค์โลกที่ดีต่อเนื่อง และจากการเร่งส่งออกในช่วงระยะที่ผ่อนผันการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบมากขึ้นจากเดือนก่อน จากหมวดอาหารสด อัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานติดลบใกล้เคียงกับเดือนก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังปรับเพิ่มขึ้นตามราคาอาหารสำเร็จรูป
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เดือนพ.ค. ถึง 25 มิ.ย. 2568 เงินบาทเฉลี่ยปรับแข็งค่าขึ้นจากเดือน เม.ย. สอดคล้องกับสกุลเงินภูมิภาค เนื่องจากตลาดเริ่มคลายความกังวล หลังการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศคู่ค้าสำคัญกับสหรัฐฯ มีความคืบหน้าในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์
“การแข็งค่าของเงินบาท ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ซึ่งมีปัจจัยมาจากสถานการณ์ในตลาดโลก และเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าเป็นสำคัญ ขณะที่ปัญหาการเมืองภายในประเทศ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเช่นกัน และต้องจับตาดูพัฒนาการในระยะต่อไป ส่วนการเข้าไปดูแลค่าเงินบาท ธปท.จะทำก็ต่อเมื่อค่าเงินบาทเคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน แต่ในปัจจุบันมองว่าการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ยังมีทิศทางที่สอดคล้องกับภูมิภาค และสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน” นางสาวปราณี กล่าว
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ต้องติดตามในระยะต่อไป คือ 1. นโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก 2. พัฒนาการของภาคการท่องเที่ยว 3. การปรับตัวของภาคธุรกิจที่ต้องเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้น และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และ 4. ความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์และปัจจัยภายในประเทศ