Work from Home ดีกว่า Hybrid Work จริงไหม แบบไหนถึงจะเหมาะกับเรา
GH News July 03, 2025 10:21 AM
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์โรคระบาดโควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานไปอย่างถาวร ในอดีตพนักงานจำเป็นต้องเข้าออฟฟิศเพื่อทำงาน แต่ปัจจุบันพนักงานสามารถทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) ได้แล้ว
เมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย หลายบริษัทจึงเรียกพนักงานกลับเข้าออฟฟิศ และเริ่มประยุกต์ใช้รูปแบบการทำงานแบบ Hybrid Work มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้โปรแกรม HR ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะฟีเจอร์ Employee Self-Service https://www.empeo.com/blog/hrm/5-employee-self-service-features/ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการลงเวลางานและการขออนุมัติเอกสารต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพของการทำงานแบบ Work from Home และ Hybrid Work ให้ดียิ่งขึ้น
วันนี้เราจะมาศึกษาร่วมกันเกี่ยวกับการทำงานแบบ Work from Home และ Hybrid Work ว่ารูปแบบไหนดี และแบบไหนที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด
Work from Home คืออะไร แบบไหนถึงเรียกว่าการทำงานที่บ้าน
Work from Home หรือ Remote Work คือการทำงานนอกออฟฟิศ โดยไม่จำกัดแค่ว่าต้องทำงานที่บ้านอย่างเดียว แต่เป็นการทำงานจากที่ไหนก็ได้ เพียงแค่มีโน้ตบุ๊ก อินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน พนักงานก็สามารถทำงานได้ทุกที่
โดยปกติแล้ว การทำงานแบบ Work from Home จะให้อิสระกับพนักงานในเรื่องของสถานที่ทำงานและเวลาในการทำงาน โดยที่พนักงานสามารถเลือกเวลาทำงานได้อย่างที่ต้องการ หรือบางที่ไม่กำหนดให้มีเวลาเข้า-ออกงาน เพียงแค่ส่งงานให้ทันตามกำหนด หรือบางที่ก็ยังกำหนดเวลาที่ต้องเข้า-ออกงาน แต่จะทำผ่านโปรแกรม HR ที่กำหนดไว
Hybrid Work คืออะไร
hybridworkทีมงานทำงานร่วมกันแบบ Hybrid Work ในออฟฟิศ
Hybrid Work คือส่วนผสมกันระหว่างการทำงานที่บ้าน (Work from Home) และการทำงานที่ออฟฟิศ โดยที่บริษัทจะกำหนดให้พนักงานทำงานที่บ้านในบางวัน และบางวันให้มาทำงานที่ออฟฟิศ การทำแบบนี้จะทำให้พนักงานได้ประโยชน์ทั้งในเรื่องของเวลา ที่มีความยืดหยุ่นในเรื่องการเข้า-ออกงาน หรือเลือกสถานที่ทำงานในแบบที่พนักงานจะมี Productivity สูงสุด ในขณะเดียวกัน พนักงานก็ยังได้ประโยชน์จากการเข้าทำงานที่ออฟฟิศ ที่ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม และคนในทีมมีความใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วย
ข้อดี-ข้อเสียของการ Work from Home ที่คนยังไม่รู้
การทำงานแบบ Work from Home นั้น แม้จะมีข้อดีที่พนักงานไม่ต้องฝ่าการจราจร และสามารถเลือกทำงานได้ในสถานที่ที่ชอบ แต่ก็มีข้อเสียบางอย่างที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ ดังนี้
ข้อดีของการทำงาน Work from Home
ประหยัดเวลา ประหยัดต้นทุน : การทำงานแบบ Work from Home จะทำให้พนักงานไม่ต้องฝ่าการจราจรเพื่อมาทำงานที่ออฟฟิศ หรือต้องมาเช่าคอนโดเพื่อทำงานใกล้ออฟฟิศ นอกจากพนักงานจะประหยัดเวลาในการเดินทางแล้ว ยังประหยัดค่าเดินทาง และค่าเช่าบ้านอีกด้วย ในขณะเดียวกัน ทางบริษัทก็สามารถประหยัดต้นทุนโดยไม่ต้องเช่าออฟฟิศเพิ่มเติม หรือเช่าออฟฟิศที่มีขนาดเล็กลง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเฟอร์นิเจอร์สำหรับใช้ทำงาน
มีความยืดหยุ่น ส่งเสริม work-life balance : การทำงานแบบ Work from Home นอกจากที่พนักงานจะไม่ต้องฝ่าการจราจรเพื่อมาทำงานที่ออฟฟิศแล้ว พนักงานยังได้อยู่บ้านและใกล้ชิดกับคนรัก มีเวลาในการออกกำลังกาย ทานอาหาร และพนักงานยังสามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมที่ตนเองชื่นชอบ ทำให้สุขภาพกาย สุขภาพจิตดีขึ้นตามมา
เพิ่มผลลัพธ์ในการทำงานให้ดีกว่าเดิม : การทำงานแบบ Work from Home อาจช่วยลดสิ่งรบกวนที่เกิดขึ้นระหว่างทำงาน พนักงานไม่นั่งคุยกับเพื่อน และไม่ต้องเข้าประชุมบ่อย ๆ ในแบบที่ไม่จะเป็น ทำให้พนักงานมีเวลามากขึ้น ทำงานได้มากขึ้น และได้ผลลัพธ์ของการทำงานที่ดีกว่าเดิม
ดึงดูดผู้สมัครให้เข้ามาทำงาน : ในตอนนี้ หลายบริษัทเริ่มเสนอให้การทำงานแบบ Work from Home เป็นหนึ่งในสวัสดิการ ทำให้บริษัทดึงดูดพนักงานเก่ง ๆ ได้จากทุกที่ ไม่ว่าพนักงานคนนั้นจะอยู่ต่างจังหวัดหรือในกรุงเทพมหานคร ก็ไม่ติดข้อจำกัดเรื่องระยะทางหรือการต้องโยกย้ายมาทำงานในเมืองอีกต่อไป
ข้อเสียของการทำงาน Work from Home
การสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพ : ข้อเสียหลักของการทำงานแบบ Work from Home คือการสื่อสารกับทีม เมื่อพนักงานไม่ได้คุยกันเองหรือไม่ได้คุยกับผู้จัดการ และมุ่งทำงานของตัวเองอย่างเดียว ก็อาจจะส่งผลให้การสื่อสารคลาดเคลื่อนและไม่มีประสิทธิภาพ
ไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม : การทำงานแบบ Work from Home จะทำให้พนักงานไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเท่าที่ควรจะเป็น แม้ว่าจะทำงานทีมเดียวกัน แต่เรื่องที่พูดคุยกันจะมีเพียงแค่เรื่องงานเท่านั้น ไม่สามารถพูดเรื่องราวความทุกข์ ความสุข หรือแชร์เรื่องราวต่อกันได้ กลายเป็นความห่างเหินซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทไม่ได้ต้องการ
เพิ่มแรงกดดันให้ทำงานได้เยอะขึ้น : แม้ว่าการทำงานแบบ Work from Home จะช่วยเพิ่มผลลัพธ์ในการทำงานได้มากขึ้น แต่พนักงานจะตกอยู่ในสภาวะที่ตนเองต้องเร่งทำงานและผลิตงานออกมาตลอดเวลา นอกจากนี้ สำหรับบางคนอาจจะไม่ได้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ เพราะมีสิ่งเร้าและรบกวนา ยิ่งเพิ่มความเครียดและความกดดันในการทำงานมากขึ้นไปอีก
พนักงาน Burnout : เนื่องจากการทำงาน Work from Home จะไม่มีการแบ่งพื้นที่ว่าตรงไหนคือที่ทำงาน และเวลาไหนคือเวลาทำงาน ทำให้คนที่ทำงาน Work from Home อาจจะต้องทำงานมากกว่าคนปกติ ทำให้สุขภาพจิตแย่ลง เครียดมากขึ้น และส่งผลต่อสุขภาพจิตได้
เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน : การทำงานแบบ Hybrid Work จะช่วยขจัดข้อเสียของการทำงานแบบ Work from Home และ In Office ได้อย่างดี พนักงานเองก็ยังมีความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานได้เป็นอย่างดี และทำให้บรรยากาศในออฟฟิศดูมีชีวิตชีวา แต่ในขณะเดียวกัน พนักงานก็ยังได้เลือกทำงานในที่ ๆ ตัวเองสบายใจ และลดความเครียดจากการเดินทางได้อีกด้วย
ธุรกิจที่เหมาะกับ Hybrid Work และ Work from Home
hybridworkincoffeeshop
แม้ว่าทั้ง Work from Home และ Hybrid Work จะมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป แต่ใช่ว่าธุรกิจหลายอย่างจะสามารถทำงานแบบ Work from Home และ Hybrid Work ได้
ธุรกิจที่สามารถทำงานได้ในรูปแบบ Work from Home และ Hybrid Work
ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ
ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์
project management
ไอที
ธุรกิจที่ไม่สามารถทำงานได้ในรูปแบบ Work from Home และ Hybrid Work
ธุรกิจสายสุขภาพและการบริการ
สื่อและการสื่อสาร
การศึกษา
ศิลปะและการออกแบบ
เราจะทำงานแบบ Work from Home หรือ Hybrid Work ให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
ใช้โปรแกรม HR : ปัจจุบันโปรแกรม HR มีส่วนอย่างมากในการสนับสนุนการทำงานแบบ Work from Home และ Hybrid Work โดยเฉพาะฟังก์ชั่น employee self-service ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้พนักงานสามารถลงเวลางาน หรือทำเรื่องขออนุมัติเอกสาร ขออนุมัติการลา หรือขอเบิกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้ผ่านมือถือ สะดวก รวดเร็ว และทำให้การทำงานที่บ้านมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
ฟีดแบ็กการทำงาน : การทำงานไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จำเป็นต้องได้รับฟีดแบ็กที่เป็นประโยชน์เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทำงานในรูปแบบ Work from Home และ Hybrid Work ที่บริษัทควรเปิดช่องทางในการรับฟีดแบ็กของพนักงาน ทั้งการถามคำถาม, ทำแบบสอบถาม, ใช้เครื่องมือด้าน project management
ประเมินผลงานกับลูกค้าเป็นระยะ : สิ่งสำคัญที่สุดในธุรกิจคือการเอาใจใส่ในการแก้ปัญหาของลูกค้า ซึ่งหากการทำงานแบบ Work from Home และ Hybrid Work ส่งผลให้บริษัทไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ก็จะต้องมีการปรับปรุงและแก้ไขการทำงานต่อไป