‘จุลพันธ์’ ยืนยันรัฐบาลไม่มีไอเดีย ‘ยุบสภา’ การันตียังไม่ถึงทางตัน รับแค่มีสะดุดติดขัดบ้าง มองข้อเสนอพรรคประชาชนเป็นไปไม่ได้ ลุ้นคำวินิจฉัยศาล ปมคลิปเสียงนายกฯ เป็นบวก ดัน ‘แพทองธาร’ กลับนั่งเก้าอี้คุมรัฐบาลบริหารงานฉลุยอีก 2 ปี
4 ก.ค. 2568 – นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง กล่าวว่า ไม่ว่าท้ายที่สุดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีการหยุดปฏิบัติหน้าที่ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปมคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน จะออกมาในทางใด ก็จะไม่ทำให้รัฐบาลสะดุด หรือติดขัดในการบริหารประเทศอย่างแน่นอน เพราะตามรัฐธรรมนูญแล้วยังมีกลไกรองรับแนวทางปฏิบัติในทางการเมืองอีกหลายรูปแบบ และขณะนี้ได้มีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่อย่างครบถ้วนแล้ว ดังนั้นการขับเคลื่อนงานของแต่ละกระทรวงยังเดินหน้าไปได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร รัฐมนตรีทุกคนยังมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการบริหารงานอยู่
ทั้งนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลและพรรคร่วมยังกลมเกลียวกันดี มีการพบปะพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง และทุกคนยังคงเชื่อมั่นในรัฐบาล พร้อมทำงานด้วยความมั่นใจ โดยรัฐบาลยืนยันมาตลอดว่าสิ่งที่นายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการ แม้จะถูกต้อง แต่ไม่ได้เป็นประเด็นที่ทำให้ประเทศไทยเสียสิทธิเสรีภาพ เสียเอกราช เป็นแนวทางที่ผู้นำประเทศ รวมถึงผู้บริหารระดับกระทรวงก็ทำกัน เป็นเรื่องปกติในการหากลไกการเจรจร โดยเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรีชัดเจน คือ ไม่ต้องการให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ เพราะผลกระทบที่เกิดร้ายแรง หมายถึงชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้นนากยรัฐมนตรีต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการปะทะ จึงมีการหาวิธี หาทางออก ซึ่งในมุมมองทางการเมืองอาจจะมีทั้งคนที่ชอบ และไม่ชอบ
“ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อมั่นและความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญในการบริหารประเทศ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลเจอเหตุนิติสงครามทำให้ขณะนี้นายกรัฐมนตรีต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ในสังคมมองได้หลายรูปแบบ แต่ขออย่าเพิ่งจินตนาการไปไกล เพราะข้อเท็จจริงขอยืนยันว่ารัฐบาลยังไม่ถึงทางตัน ไม่มีเหตุให้ถึงทางตัน เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าอาจจะมีคนที่อยากให้ถึงทางตัน หรือเลี้ยวเข้าซอยที่ออกไม่ได้ แต่ตามกลไกของรัฐธรรมนูญแล้ว ครม. ยังไม่ได้ประสบปัญหาการบริหารแต่อย่างใด ช่วงนี้อาจจะเป็นการสะดุดติดขัดในการขับเคลื่อนบ้าง ก็ต้องยอมรับ แต่ท้ายที่สุดก็มี ครม. ใหม่เข้ามาทำงานเรียบร้อย” นายจุลพันธ์ กล่าว
นายจุลพันธ์ ยังยืนยันอีกว่า รัฐบาลยังไม่ได้มาถึงจุดเสี่ยง แม้ว่าในอีก 2 เดือนข้างหน้าหากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมา ไม่ว่าจะเป็นทางใดก็ตาม หากเป็นเชิงบวก นายกรัฐมนตรีก็จะกลับมาปฏิบัติหน้าที่ขับเคลื่อนประเทศ ซึ่งรัฐบาลมีเวลาเหลืออีก 2 ปีในการทำงาน แต่หากคำวินิจฉัยออกมาในทางลบ เช่น นายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง กลไกก็จะย้อนกลับไปที่สภาฯ ในกรณีที่ต้องหาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งพรรคนั้น ๆ จะต้องมี สส. เกิน 25 คน เพื่อมาเป็นนายกคนต่อไป โดยในส่วนของพรรคเพื่อไทย (พท.) มีนายชัยเกษม นิติศิริ ขณะที่พรรคอื่น ๆ ก็มี กลไกตรงนี้จะเดินหน้าไปตามระบอบ จึงไม่อยากให้มีการตีความว่าจะมีเหตุอันใดที่ทำให้รัฐบาลไม่สามารถเดินหน้า หรือไม่สามารถขับเคลื่อนประเทศได้ในขณะนี้
“แน่นอนว่าพรรคเพื่อไทยก็ต้องมีการเสนอรายชื่อแคนดิเดตเข้าไป ในฐานะเสียงข้างมาก ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร ผมคงสรุปหรือไปฟันธงแทนทุกคนไม่ได้ว่าจะต้องเห็นตรงกันกับพรรคเพื่อไทย แต่โดยสภาพของพรรคร่วมที่มีเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่ง ก็เชื่อว่าหากมีกระบวนการตรงนี้เกิดขึ้นก็จะไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน สุดท้ายทุกอย่างจะเดินหน้าต่อไปได้” รมช.การคลัง ระบุ
ส่วนกรณีข้อเสนอของพรรคประชาชนนั้น มองว่า ข้อเสนอดังกล่าวไม่ใช่มติของพรรคร่วมรัฐบาล เป็นมิติความคิดของพรรคประชาชนเอง และแน่นอนว่าข้อเสนอดังกล่าวไม่ใช่องค์ประกอบของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายความว่าพรรคเพื่อไทยไม่จำเป็นต้องใช้เสียงจากพรรคประชาชนเข้ามาสนับสนุน แต่ในอีก 2-6 เดือนข้างหน้าซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ภูมิทัศน์ทางการเมืองอาจจะเปลี่ยนไป อาจจะต้องใช้เสียงของพรรคประชาชนเข้ามาสนับสนุนใครคนใดคนหนึ่ง นั่นก็เป็นสิทธิของแต่ละพรรค เป็นเอกสิทธิ์ของ สส. แต่ละคน โดยเฉพาะการเลือกนายกรัฐมนตรี ถึงเวลานั้นพรรคเพื่อไทยคงไปบังคับหรือกะเกณฑ์คนอื่นไม่ได้
แต่ในมิติการเมืองที่แท้จริงแล้ว หากเดินหน้าที่จะเป็นรัฐบาลที่มีเสียงไม่เกินกึ่งหนึ่ง เพียงเพื่อมาโหวตนายกรัฐมนตรีอย่างเดียว แล้วกลไกขับเคลื่อนอื่น ๆ จะเดินหน้ากันอย่างไร จะบอกว่าเข้ามาเป็นรัฐบาลเพียงเพื่อแก้ไขมติ แก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วมิติของสภาฯ จะเป็นอย่างไร การแก้ไขปัญหาของประชาชน หรือการออกนโยบายต่าง ๆ ทั้งหมดจะเดินหน้าต่อไปไม่ได้เลย
“ผมไม่ได้มองเรื่องข้อเสนอของพรรคประชาชนเป็นผลบวก หรือเป็นทางออก ส่วนถามว่าจะมีการยุบสภาก่อนหรือไม่ โดยสภาพแล้วยังไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ ที่นำไปสู่จุดนั้น ขณะนี้รัฐบาลยังขับเคลื่อนได้อยู่ การแก้ไขปัญหาของประชาชนยังเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราปล่อยมือจากพวงมาลัย การขับเคลื่อนจะทำได้หรือ ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นจะต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อแก้ไขและขับเคลื่อน” นายจุลพันธ์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังยืนยันว่าแม้จะมีปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในณะนี้ แต่ข้าราชการยังคงเดินหน้าทำงานอย่างต่อเนื่อง ไม่มีปัญหาเกียร์ว่างอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในมิติของกระทรวงการคลังที่นายจุลพันธ์รับผิดชอบอยู่ โดยยังเชื่อมั่นว่าข้าราชการกระทรวงการคลังมีความเป็นมืออาชีพ เพราะการขับเคลื่อนจากฝ่ายการเมืองอย่างเดียวคงเดินหน้าไม่ได้ หากไม่มีภาคราชการที่เป็นมือไม้สำคัญในการทำให้นโยบายต่าง ๆ ประสบความสำเร็จ โดยในส่วนของกระทรวงการคลังตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ไม่เคยมีปัญหาเกียร์ว่าง เนื่องจากทุกฝ่ายเอาโจทย์ของประชาชนเป็นที่ตั้งหลัก
อย่างไรก็ดี ยืนยันว่าขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีข้อห่วงใยใด ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองที่กำลังเกิดขึ้น พรรคร่วมรัฐบาลยังคงเหนียวแน่น กลมเกลียว และสุดท้ายยังหวังลึก ๆ และเชื่อลึก ๆ ว่ากระบวนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญน่าจะออกมา “เป็นบวก” ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะสามารถเดินหน้าขับเคลื่อนรัฐนาวาที่เหลืออีก 2 ปีต่อไปได้ แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของรัฐธรรมนูญ
“ไม่มีทางตัน ไม่มีทางที่ไปไม่ได้ รัฐธรรมนูญกำหนดชัดเจนว่ามีกลไกเป็นทางออก ซึ่งผมยืนยันว่าทุกอย่างไปได้ อย่างแรกเลยขณะนี้เรามีนายกรัฐมนตรีชื่อแพทองธาร ชินวัตร มีรักษาการนายกรัฐมนตรี ชื่อภูมิธรรม มี ครม. ที่กำกับดูแลกระทรวงครบถ้วนทุกคน ดังนั้นการขับเคลื่อนไม่มีข้อสะดุดติดขัด ส่วนเรื่องศาลก็ปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอน มาอย่างไรสุดท้ายก็ต้องยอมรับและเดินไปกับมัน ชีวิตไม่ได้จบแค่นั้น หากเป็นบวกนายกรัฐมนตรีก็กลับมาทำงาน หากเป็นลบก็มีกลไกในการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ มีกลไกสภารองรับ ส่วนจะเป็นไปทางไหน ชอบหรือไม่ชอบก็เท่านั้น สุดท้ายบ้านเมืองจะมีทางออกได้ ไปได้ นี่คือกลไกปกติ แต่ต้องไม่มีกลไกนอกกติกา นั่นเป็นสิ่งที่เราไม่อยากเห็นและไม่อยากให้เกิดกับประเทศ ขอให้เชื่อมั่นในประเทศไทย ยืนยันหลักการตามระบอบประชาธิปไตย มั่นใจว่าอย่างไรก็ไปได้” รมช.การคลัง กล่าว