เคยจับคู่กันดังมาแล้วในละครเรื่อง “สังข์ทอง” เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ล่าสุดคู่จิ้นคนดัง ‘ปูเป้’ เกศรินทร์ น้อยผึ้ง กับ ‘ม่อน’ สุรศักดิ์ สุวรรณวงษ์ รีเทิร์นร่วมงานกันอีกครั้ง ในละครพื้นบ้าน “แม่ปลาบู่” จากค่ายสามเศียร ที่รีเมกจากนิทานวัดเกาะเรื่อง “ปลาบู่ทอง”
โดยปูเป้ถ่ายทอดบทบาทสุดท้าทายกับตัวละคร ‘เอื้อย’ และ ‘อ้าย’ ส่วนม่อนมาในบท ‘เจ้าชายพรหมทัต’ วันนี้ทั้งคู่ควงกันมาพูดคุย
♦ฟีดแบ็กละคร?
ปูเป้ – “ดีมากๆ ค่ะ ขอบคุณทุกๆ คนที่ซัพพอร์ต ทุกคนจะอินกับละครในตอนๆ นั้นมาก บางคนเกลียดอ้าย บางคนก็รักอ้ายเชียร์อ้าย บางคนสงสารเอื้อย”
ม่อน – “ฟีดแบ็กดีมากเลยครับ ไม่ว่าเราจะทำอะไร แฟนๆ ตามไปซัพพอร์ตตลอด”
♦เรื่องนี้ได้มาเล่นคู่กันอีกรอบเป็นยังไงบ้าง?
ปูเป้ – “เหมือนเราเล่นกันลงล็อกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ด้วยสนิทกัน อยู่ด้วยกันมาสิบปี จากที่ร่วมงานกัน ต่อให้ไม่ได้ถ่ายละครด้วยกัน แต่ก็ยังได้เจอกันบ้าง เพราะเราสังกัดเดียวกัน ผู้จัดการเดียวกัน นัดเจอกันอยู่เรื่อยๆ พอรู้ใจกันสนิทกันมากขึ้น เวลาเล่นก็ลงล็อก มีการคุยนัดมุขนัดอะไรกันก็เลยเข้าขากันมากขึ้น”
ม่อน – “ใช่ เวลาเล่นก็ไม่ได้เกร็งไม่ได้อะไร ทำให้ละครออกมาไหลลื่น”
♦แฟนๆ เขาก็จิ้นกันเนอะ?
ม่อน – “จริงๆ ตั้งแต่ สังข์ทอง ที่เราเล่นด้วยกัน ประมาณ 7 ปีกว่า พอกลับมาเล่นคู่กันปรากฏว่าแฟนๆ ยังอยู่ เอฟซีเดิมๆ จากสังข์ทองก็ยังอยู่ ก็เลยมีกำลังใจมากเลยที่แฟนๆ ซัพพอร์ตกัน นอกจากฐานแฟนๆ พื้นบ้าน ยังมีฐานแฟนวัยรุ่น มีแฟนๆ ใหม่เข้ามา”
ปูเป้ – “ทุกคนเป็นกำลังใจให้ทุกอาทิตย์เลย เราก็อยากจะทำให้ทุกคนดูแล้วสนุก มีความสุข”
♦เรื่องนี้มีข้อคิดอะไรให้คนดูบ้าง?
ปูเป้ – “ได้แง่คิดหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องจริยธรรมความดี เรื่องเวรกรรม แล้วก็ยังเสิร์ฟความจิ้นให้แฟนๆ อีกเพียบ ซึ่งคนเขียนบทเสิร์ฟให้เยอะเหมือนกัน ตั้งแต่เล่นละครกับคุณม่อนมา เรื่องนี้ใกล้ชิดกันมากสุด ถึงเนื้อถึงตัว เพราะตามปกติจะไม่ค่อยได้เห็นฉากนี้ในละครพื้นบ้านเท่าไหร่”
♦หลายคนชมที่ปูเป้เล่นบทอ้ายและเอื้อยได้แตกต่างกันมาก?
ปูเป้ – “หนูทำการบ้านหนักมากๆ คือหนูมีประสบการณ์การเล่นบทฝาแฝดมาก็จริง แต่เรื่องนั้นอาจจะไม่ได้เล่นเต็มตัวทั้งสองตัวสักเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้เล่นเต็มตัวทั้งสองตัว แยกคนแยกนิสัยชัดเจน สำคัญเลยคือเรื่องการออกเสียง
ตอนเล่นเป็นเอื้อย ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา หนูจะเล่นในบทบาทที่เหมือนเอื้อยบ่อย ตัวนางเอก พูดเสียงหวาน มีกิริยามารยาทเรียบร้อย พอแต่งชุดไทยปุ๊บจะเป็นคาแร็กเตอร์นั้นโดยอัตโนมัติ แต่พอเป็นเวอร์ชั่นอ้าย มันยากมากๆ ในประสบการณ์ของหนูไม่เคยได้รับมาก่อน
ก็จะมีการทำการบ้านเรื่องเสียง นั่งๆ อยู่ตะโกนเพื่อให้ปล่องเสียงมันเปิด พอเราพูดซอฟต์ๆ นานๆ เสียงจะไม่ออก มันจะกรี๊ดไม่ขึ้น ดูไม่ธรรมชาติของการเป็นตัวละครนั้น ช่วงแรกๆ หนูจะไล่หาโทนเสียง จนนักแสดงคนอื่นๆ เสียสมาธิ หนูต้องขอโทษ เพราะด้วยว่าหนูยังไม่ชิน”
♦เทคนิคต่างๆ ที่เราทำ ได้จากไหนมา?
ปูเป้ – “เป็นประสบการณ์และความคิดของตัวเองด้วย และปรึกษาพี่หลุยส์พี่ลอร์ด (สยาม-สยม สังวริบุตร) ผู้จัด และพี่หนำเลี้ยบ (ภิพัชพนธ์ อภิวรสิทธิ์) ผู้กำกับฯ ว่าหนูควรจะทำยังไงดีให้คาแร็กเตอร์ทั้งสองตัวแตกต่างกัน จริงๆ มันแยกชัดเจนอยู่แล้วว่าตัวนี้ดีตัวนี้ร้าย เพียงแต่เราอยากทำให้มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น เป็นตัวของตัวละครนั้นไปเลย
ช่วงหลังมาหนูถ่ายทอดบทอ้ายก็ไม่ได้มานั่งกรี๊ดเท่าไหร่ เพียงแต่แค่รู้สึกว่าคน คนนี้นิสัยลึกๆ เป็นยังไง มีบางวันที่หนูเฟลกับตัวเองว่าทำไมหนูนิสัยไม่ดี บางครั้งหนูกรี๊ดจนสติหลุด เหมือนมันกรี๊ดจริง โมโหจริง เลยปรึกษาพี่หลุยส์พี่ลอร์ดและพี่ผู้กำกับฯ ว่าหนูรู้สึกว่าข้างในมันไม่โอเคเท่าไหร่ ทำไมจิตหนูเริ่มหลุดไปทางอ้าย คือมันอินเกินไป
เหมือนเราเป็นอ้ายไปแล้วในพาร์ตที่เป็นอ้าย คือไม่ใช่ปูเป้แล้ว แต่พอเป็นเอื้อยปุ๊บ ก็กลับมาเป็นเอื้อยนะคะ เป็นไปอัตโนมัติ พอแต่งตัวอย่างนี้จะเป็นเลย พอหนูเป็นเอื้อยหนูจะไม่คุยกับใคร จะนั่งซึม”
ม่อน – “คีพคาแร็กเตอร์”
ปูเป้ – “ใช่ค่ะ แต่พอเป็นอ้ายปุ๊บ จะมีสีสันทันที คุยกับคนนั้นคนนี้เรื่อยเปื่อย”
•อารมณ์ที่ค้างอยู่ มีวิธีเอาออกยังไง?
ปูเป้ – “กลับไปบ้านสวดมนต์ ขึ้นรถก็นั่งร้องไห้ เพราะอารมณ์มันค้าง รู้สึกเครียดกับการเป็นอ้าย เหมือนอยากเอาชนะ โมโห มันร้อนอยู่ในใจ ด้วยการที่เราถ่ายทำ 4 วันรวด แล้วหนูมีทุกซีนก็เลยค้างทั้งวัน เพราะเรามีช่วงเวลาที่อยู่กับปูเป้น้อยมาก แค่จันทร์-อังคาร-พุธ กับตอนนอน แล้วเป็นอ้ายซะเยอะ ตบคน กรี๊ด เป็นอารมณ์ที่ระเบิด ไม่เคยเป็นมาก่อน มันต้องมีวิธีเอาออก
บางวันก็มีปรึกษาผู้ใหญ่นักแสดงในกองว่าจะทำยังไงดี เขาก็บอกต้องถอดให้ออก อาจจะนั่งสมาธิ หรือสวดมนต์ ซึ่งหนูก็ดีขึ้น”
♦แล้วม่อนล่ะ เป็นยังไงบ้าง?
ม่อน – “ของผมจะนิ่มๆ ชิลชิล ไม่ค่อยมีเหมือนปูเป้เท่าไหร่”
♦สิ่งที่ยากในคาแร็กเตอร์ที่ได้รับ?
ม่อน – “สำหรับผมมีการปรับนิดหน่อย ช่วงแรกๆ อาจจะยาก พี่หลุยส์พี่ลอร์ดไม่อยากให้เป็นเจ้าชายที่นิ่งๆ อยากให้อะเลิร์ตหน่อย คือผมติดพูดช้าๆ แต่เขาอยากให้พูดไดอะล็อกติดกัน ไม่เว้นจังหวะนาน ให้ดูร่าเริงสดใส เหมือนให้เชื่อมกับคาแร็กเตอร์ตอนเด็กมาสู่ตอนโต แล้วค่อยมานิ่งๆ มีมาด
ซึ่งผมก็ต้องมาทำการบ้านว่าน้องที่แสดงเป็นเราตอนเด็กเขาเล่นยังไง ผมไปเปิดดู น้องเขาอะเลิทมากเลย ก็เลยต้องเล่นให้เชื่อมกับน้องเขา ไม่งั้นจะดูโดดเกินไป”
ปูเป้ – “เหมือนกันเลย เราต้องมาดูน้องคนที่เล่นเป็นเราว่าเขามีคาแร็กเตอร์แบบไหน มีลักษณะนิสัยยังไง มันจะมีท่าประจำตัวของเด็กแต่ละคน เวลาคิด เวลาโมโห ร้องไห้ ทำท่ายังไง เราก็ต้องลอกตรงนั้นมาแล้วมาดัดแปลงในตอนโต”
ม่อน – “ตรงนี้น่าจะเป็นจุดยากสำหรับผม นอกนั้นไม่น่ามีอะไรยาก เล่นไปตามสไตล์ แล้วในเรื่องผมมีขี่ม้าด้วย ไม่ได้ขี่มานาน ได้มาขี่เรื่องนี้ก็สนุกดี เราก็ไม่ถึงกับชำนาญ แต่พอขี่ได้ขี่เป็นครับ”
ปูเป้ – “ม้าเป็นสัตว์ที่ฉลาดมากนะ จะรู้ว่าใครกลัวไม่กลัว ซึ่งหนูมีฉากขี่ม้าเหมือนกัน แล้วก็หล่น แต่ไม่ได้อันตราย ด้วยผ้าถุงลื่น ไม่ได้บาดเจ็บอะไร มีพี่ๆ เขาเซฟรับ”
♦ สุดท้ายฝากละครกันหน่อย?
ม่อน – “ขอฝากละคร แม่ปลาบู่ ไว้ด้วยครับ รับรองสนุกเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทุกสัปดาห์แน่นอน แต่ละสัปดาห์เรียกว่ามีเซอร์ไพรส์มาฝากคนดู”
ปูเป้ – “ฝากคู่เราและฝากนักแสดงทุกคนด้วยนะคะ ทุกคนตั้งใจกันมาก ปูเป้ก็ตั้งใจสุดๆ เลยค่ะ ทุกคนชอบถามว่าหนื่อยไหมเล่นเป็นทั้งเอื้อยและอ้าย ยอมรับว่าเหนื่อย แต่หนูได้กำลังใจที่ดีจากทุกคน พร้อมจะสู้ทุกๆ ฉาก ด้วยแรงซัพพอร์ตกำลงใจจากทุกคนทำให้หนูมีแรงในการทำงานทุกวันค่ะ
ฝากติดตาม แม่ปลาบู่ ทุกเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.00-09.00 น. ทางช่อง7 HD ใครที่ตื่นมาไม่ทัน (ยกมือไหว้) ขอร้องช่วยตื่นมาดูให้ทันหน่อยนะคะ แต่ถ้าไม่ทันจริงๆ สามารถติดตามความเคลื่อนไหว ทางช่องยูทูบสามเศียร ออฟฟิศเชี่ยลได้ค่ะ”
พลเทพ สารภิรมย์