การเจรจาภาษีระหว่างไทย-สหรัฐฯ ยังไร้ข้อสรุป ขณะที่เวียดนามปิดดีลเรียบร้อย เอกซเรย์จุดเปราะของไทย ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และคำเตือนจากกรณ์ จาติกวณิช
สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาในเดือนกรกฎาคม 2568 กำลังเข้าสู่จุดเปราะบางที่สุดในรอบหลายปี เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พลิกเกมการเจรจาโดยเปลี่ยนจากการเจรจารายประเทศมาเป็นการประกาศอัตราภาษีนำเข้ากับคู่ค้ากว่า 170 ประเทศแบบ “เหมาเข่ง” โดยจะเริ่มมีผลในวันที่ 1 สิงหาคมนี้
ไทยยังไม่จบดีล – สหรัฐฯ เปลี่ยนเกม
แม้ทีมเจรจาไทยจะระบุว่าการพูดคุยกับสหรัฐฯ “เป็นไปด้วยดี” แต่จนถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่เป็นทางการ ขณะที่สหรัฐฯ ประกาศชัดว่า หากประเทศใดไม่สามารถเจรจาได้ทันเวลา จะถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราระหว่าง 10–70% ซึ่งถือว่าสูงอย่างยิ่งในมาตรฐานการค้าโลก
ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ เคยเสนอภาษีตอบโต้ไทยที่ระดับ 18% ขณะที่ฝ่ายไทยพยายามต่อรองให้เหลือไม่เกิน 10% พร้อมข้อเสนอเสริมในหลายประเด็น ทั้งการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ และความร่วมมือเศรษฐกิจ
เวียดนามจบดีลแล้ว ไทยยังวิ่งไล่ตาม
ประเทศที่สร้างแรงกดดันต่อไทยมากที่สุดในเวลานี้คือ เวียดนามที่สามารถปิดดีลกับทรัมป์ได้แล้ว โดยยอมรับภาษีนำเข้าสินค้าตัวเองที่ 20% แต่แลกกับการเปิดตลาดให้สินค้าจากสหรัฐฯ เข้าเวียดนามโดยไม่เก็บภาษี (0%) และยอมรับภาษีสูงถึง 40% สำหรับสินค้าประเทศอื่นที่ “ผ่านเวียดนาม” ไปยังสหรัฐฯ
ข้อตกลงนี้ไม่เพียงแค่รักษาความสัมพันธ์การค้าเวียดนาม-สหรัฐฯ แต่ยังสร้าง “Benchmark” ใหม่ที่ทรัมป์ใช้เป็นมาตรฐานเจรจากับประเทศอื่น โดยเฉพาะไทย ซึ่งยังไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจน
กรณ์เตือนแรง: ถ้าไทยช้า จะเสียทุกมิติ
นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความกังวลว่า ไทยกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดี หากเทียบกับเวียดนามที่ยอม “เจรจาอย่างเจ็บแต่จบ” เพื่อรักษาโอกาสทางการค้า
เขาตั้งคำถาม 3 ข้อที่ชี้ให้เห็นจุดอ่อนของไทย:
1.หากภาษีเท่ากัน ไทยเสียเปรียบเวียดนามหรือไม่?
2.ราคาสินค้าในสหรัฐฯ จะสูงขึ้นจนผู้บริโภคลดการซื้อของไทยหรือไม่?
3.ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจะรุนแรงแค่ไหน?
ทำไมไทยอาจเสียเปรียบ แม้ภาษีเท่ากัน
ต้นทุนการผลิตและอัตรากำไร (Margin): บริษัทไทยที่มี Margin ต่ำกว่า จะลดราคาสู้เวียดนามไม่ได้
ค่าเงินบาทแข็งกว่าเงินดอง: ยิ่งซ้ำเติมความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย
ภาวะตุนสินค้า: แม้อเมริกาจะยังไม่รับผลกระทบในทันที เพราะมีการตุนสินค้าไว้ก่อน แต่ผลระยะกลางและยาวจะเริ่มส่งผลต่อคำสั่งซื้อใหม่
SCB EIC คาดว่าไทยอาจเผชิญอัตราภาษีนำเข้า สูงถึง 36% หากไม่สามารถจบดีลก่อนเส้นตาย 7 กรกฎาคมนี้ และถ้าเกินวันที่ 1 สิงหาคม 2568 โดยไม่มีข้อตกลง ภาษีจะบังคับใช้ทันที
ส่งออกเสี่ยง – จีดีพีสะเทือน
อเมริกาเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย โดยเฉพาะสินค้าหลัก เช่น
-คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ
-โทรศัพท์และอุปกรณ์
-ผลิตภัณฑ์ยาง
หากคำสั่งซื้อลดลงเพียง 10% จะกระทบ GDP ไทยราว 1% ทันที และยังส่งผลทางอ้อม เช่น
-กำไรผู้ส่งออกหด → เงินลงทุนใหม่ลดลง
-สินค้าไทยค้างสต๊อก → ระบายเข้าสู่ตลาดในประเทศ
-สินค้าอ้อมจากจีนบุกไทย → SMEs ไทยถูกเบียดตกขอบ
-FDI จะไหลออก – ไทยไม่ใช่ “Friend-shoring” อีกต่อไป
หนึ่งในผลกระทบที่น่ากังวลคือ เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จะไหลออกจากไทย เพราะนักลงทุนต่างชาติอาจเลือกประเทศที่มีข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว เช่น เวียดนาม มาเลเซีย หรือแม้แต่เม็กซิโก
ในขณะที่ทรัมป์ผลักดันแนวทาง “Reshoring” และ “Friend-shoring” แต่หากไทยไม่มีดีลชัดเจนกับสหรัฐฯ เราจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มพันธมิตรทางการค้าชุดใหม่
บทสรุป: ต้องเร่งเจรจา ก่อนทุกอย่างสายเกินไป
ในขณะที่เวียดนามเดินเกมเร็ว ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไทยยังคงอยู่ในช่วง “ขอต่อเวลา” และหวังการเจรจาเชิงลึกเพิ่มเติม ท่ามกลางกำหนดเส้นตายที่ไล่ล่ามาถึง
สิ่งที่ไทยต้องทำอย่างเร่งด่วนคือ:
-จบดีลกับสหรัฐฯ ให้ได้ก่อน 7 กรกฎาคม หรืออย่างช้าไม่เกิน 1 สิงหาคม
-สร้างกลไกชดเชยภายในแก่ผู้ส่งออก
-ปรับโครงสร้างส่งออก เพิ่มมูลค่า-นวัตกรรม
-เร่งสร้างข้อตกลงการค้าใหม่กับตลาดอื่นเพื่อกระจายความเสี่ยง
เพราะถ้าไม่ทันเกมนี้ ไทยอาจไม่ได้แค่เจอภาษีสูง… แต่อาจ สูญเสียสถานะการค้าในตลาดโลกระยะยาว อย่างไม่มีวันหวนกลับ
#ภาษีทรัมป์#ดีลการค้าไทยสหรัฐ#ส่งออกไทย#เวียดนามวิ่งไทยเตาะแตะ#ทรัมป์2568#กรณ์จาติกวณิช #เศรษฐกิจไทย#FTA#ReciprocalTariffs#ดีลไม่ทันพังทั้งประเทศ