สศก.แนะจับตา 3 ประเด็นใหญ่ ” ภาษีทรัมป์ – ข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา – ปิดช่องแคบฮอร์มุช ” หวั่นกระทบราคาปุ๋ย น้ำมันดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้น
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคเกษตร ต้องจับตาผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคการเกษตร 3 สถานการณ์ เร่งด่วน คือ มาตรการทางภาษีของทรัมป์ ข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา และ ปิดช่องแคบฮอร์มุช ซึ่งทั้ง 3 สถานการณ์ จะส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรทั้งทางตรงและทางอ้อม
สำหรับสถานการณ์ ช่องแคบฮอร์มุชในปัจจุบันที่รัฐสภาอิหร่าน อนุมัติการิดช่องแคบฮอร์มุชเพื่อตอบโต้สหรัฐอเมริกา กระทบต่อเศรษฐกิจทั้งด้านพลังงานและเกษตรของไทย จากการที่ไทยซึ่งเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันและพลังงานสำเร็จรูปจำนวนมาก จะได้รับผลกระทบชัดเจน ถือเป็นสถานการณ์ที่เขย่าเศรษฐกิจไทย เพราะกระทบต่อต้นทุนการขนส่งสินค้า
อาทิ ราคาน้ำมันและสินค้าเกษตรให้สูงขึ้น เพราะช่องแคบฮอร์มูซถือเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ด้านพลังงานสำคัญของโลก ซึ่ง ผลกระทบทางตรง มีต่อต้นทุนพลังงานสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเพิ่ม โดยเฉพาะในกลุ่มขนส่ง ไฟฟ้า แอร์ ฯลฯ เพราะไทยต้องแสวงหาแหล่งน้ำมันทางเลือกใหม่ที่ต้นทุนสูงขึ้น เช่นจากสหรัฐฯ และแอฟริกา
ผลกระทบทางอ้อม ราคาน้ำมันพุ่ง กระทบค่าขนส่ง สินค้าเกษตร และวัตถุดิบ รวมถึงต้นทุนอาหารสัตว์ และกระทบต่อภาคเกษตร ต้นทุนพุ่งทั้งจากปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และน้ำมัน ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรและอาหารอาจปรับตัวขึ้นตาม ตอกย้ำภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้นหากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ
นอกจากนี้ช่องแคบฮอร์มุช ยังเป็นเส้นทางปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ที่สำคัญจตากตะวีนออกกลาง โดยช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ไทยนำเข้าปุ๋ยจากตะวันออกกลาง 42.3% ของการนำเข้าทั้งหมด โดยแบ่งเป็นนำเข้าจากซาอุดีอาราเบีย 27.7% กาตาร์ 3.67% จอร์แดน 3.48% โอมาน 3.41% และบาห์เรน 2.3%
ช่องแคบแห่งนี้เป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากตะวันออกกลางไปยังเอเชียและยุโรป ปริมาณมากถึง 20% ของการบริโภคน้ำมันโลก และกว่า 42.3% ของน้ำมันนำเข้าของไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ก็มาจากภูมิภาคนี้
อย่างไรก็ตามขณะนี้ภาคเกษตรยังต้องจับตาผลกระทบอีก 3 ประเด็นเร่งด่วนที่ต้องให้ความสำคัญ คือ มาตรการทางภาษีของทรัมป์ ข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา ที่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรทั้งทางตรงและทางอ้อม