มาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสายในราคาไม่เกิน “20 บาทตลอดสาย” จัดอยู่ในนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลให้คำมั่นไว้กับประชาชนว่าจะเร่งดำเนินการ ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการกำหนดอัตราค่าโดยสารดังกล่าว ซึ่งจะเริ่มมีผลในวันที่ 1 ต.ค.นี้ ครอบคลุมการเดินทางในโครงข่ายรถไฟฟ้า 13 เส้นทาง รวมระยะทาง 286.84 กิโลเมตร ประกอบด้วย
โดยกระทรวงคมนาคมประกาศเงื่อนไขผู้ที่จะได้รับสิทธิค่าโดยสาร “รถไฟฟ้า 20 บาท” จะต้องดำเนินการตามข้อกำหนดดังนี้
1.ใช้สิทธิได้เฉพาะผู้โดยสารที่มีเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก
2.เดินทางด้วยบัตรโดยสาร 2 ประเภท คือ
3.ประชาชนต้องลงทะเบียนบัตรโดยสารผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ”
4.กรณีเดินทางข้ามโครงข่ายรถไฟฟ้า ผู้โดยสารต้องเดินทางเข้า – ออกบริเวณจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าที่กำหนดไว้เท่านั้น
ทั้งนี้ หากผู้โดยสารดำเนินการไม่ครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ จะต้องชำระค่าโดยสารในราคาปกติ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เผยว่า ภายในเดือน ส.ค.นี้ กระทรวงฯ จะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์ค่าโดยสาร 20 บาท ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” และภายใน 1 ต.ค. 2568 จะเริ่มดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล และภายหลังจากนั้นจะมีกระบวนการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้โครงสร้างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเปิดระบบสแกน QR Code ในมือถือแทนการใช้บัตร เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน
ทั้งนี้ กระทรวงฯ ประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อชดเชยรายได้ค่าโดยสารในช่วงปีงบประมาณ 2569 รวมทั้งสิ้น 5,512 ล้านบาท ประกอบด้วย
1.โครงข่ายรถไฟฟ้าของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ชดเชยรวม 666 ล้านบาท แหล่งที่มาของบมาจากงบประมาณแผ่นดิน แบ่งเป็น
2.โครงข่ายรถไฟฟ้าของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ชดเชยรวม 2,321 ล้านบาท แหล่งที่มาของงบมาจากกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมหรือแหล่งเงินอื่นที่เหมาะสม แบ่งเป็น
3. โครงข่ายรถไฟฟ้าของ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ชดเชยรวม 2,525 ล้านบาท แหล่งที่มาของงบยังไม่ระบุ เนื่องจากมอบหมายให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) รับไปพิจารณา แบ่งเป็น
อย่างไรก็ดี กระทรวงคมนาคม ยังประมาณการผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวในช่วง 1 ปี ในเชิงปริมาณและมูลค่าจากจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าที่ได้รับผลประโยชน์ จะประกอบด้วย 3 ด้าน เป็นประโยชน์ในงบประมาณ 2569 รวม 10,049.73 ล้านบาท ได้แก่
1. ด้านเศรษฐกิจ ประเมินจากการประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้รถ 7,360.43 ล้านบาท
2. ด้านสังคม ประเมินจากค่าความสุข และ การลดมูลค่าความสูญเสียเนื่องจากอุบัติเหตุ 2,612.02 ล้านบาท
3. ด้านสิ่งแวดล้อม ประเมินจากการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 77.28 ล้านบาท