วันที่ 11 ก.ค.68 ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ระบุว่า ...
ปัญหาพระสงฆ์
และกฎหมายพระสงฆ์สมัยรัชกาลที่ 1
“หมู่อะลัชีภิกษุมีน้ำใจทำลายพระสาศนา แลฝ่ายฆราวาศ สีกาก็คุ้นเคยนำเอาอามิศอาหารเปนต้นออกมาบำเรอภิกษุสามเณรบาปอะลัชี นั่งในกุฏีที่กำบังอันควรจะเกี้ยวพาลพูดจาอยิกอยอก สำผัศกายกระทำเมถุนธรรมได้นั้น
ฝ่ายภิกษุสามเณรบาปลามก ครั้นคุ้นเคยเข้ากับสีกาแล้ว ก็เข้าบ้านออกบ้านผิดเวลาราตรีพูดจาสีการูปซี ก็มีความเสน่หารักใคร่
ทั้งสองฝ่ายสำผัศกายกระทำเมถุนธรรมปาราชิกแลลึงค์เถรไถยสังวาศ เปนครุโทษห้ามบรรพชาอุปสมบท จะบวชมิเปนภิกษุสามเณรเลย
อย่างอ้ายดีบวชอยู่วัดโพ เสพเมถุนธรรมกับอีทองมาก
อีเพียน อีภิม อีบุนรอด อีหนู อีเขียว แลอ้ายทองอยู่เสพเมถุนธรรมกับอีทองอิน
แลเณรปิ่นอยู่วัดโพ เสพเมถุนธรรมกับอีคุ้มเมียพระแพทย
แลเณรทองเสพเมถุนธรรมกับอีชีนวนอยู่หลังวัดบางว้าใหญ่เปนปาราชิก
อ้ายเป้าบวชอยู่วัดพวาเสพเมถุนธรรมกับอีจันลาวจนมีบุตร
อ้ายลุนบวชอยู่วัดบางขุนพรหม จ้างเขียนหนังสือเอาให้อีปิ่นโขลนกู้สิบบาทแล้ว ๆ เสพเมถุนธรรมกับอีปิ่นโขลนเปนปาราชิก
แลมหาลังกับชีแก้วอยู่วัดคงคาพิหารแต่สองต่อสอง เป็นที่สงไสยใกล้ปาราชิก
เณรนุ่มอยู่วัดเสาธง เข้าไปบ้านเปนนิจกับประศกสีกา
แลทิศอยู่วัดหงษนอนกับอีเป้าภรรยานายฤทธิบนเตียงในมุ้งเปนศีลวิบัติใกล้ฉายาปาราชิก
เถรษาสัปดนเปนคนชั่วตัวเปนเถรห่มคลุมใส่ผ้าพาดบ้าง ทำอย่างภิกษุเปนไถยสังวาศ แลปลอมบวชเปนภิกษุอยู่สาศนา
แลเณรอยู่ศิษยพระนิกรม นอนในมุ้งกับอีทองคำภรรยานายกรมช้าง แลคบเถาเล่นเบี้ย
แลมหาอิน มหาจันวัดนาค พูดกับอีมุ้ยในที่ลับเปนที่สงไสยใกล้ฉายาปาราชิก จงถึงพระนิกรมเปนราชาคณะ
ไม่มีหิริโอตับปะเกรงสิกขา อยาบช้าพูดจาเกี้ยวพากับสีกาเปนบ้ากาม
อวดรูปจับข้อมืออีฉิม ๆ อบผ้าห่มส่งให้เอาผ้าไว้จูบกอดนอน แลนอนเอกเขนกให้สีกาพัดลอยน่าหาความอายไม่
มหาขุนศิษยพระนิกรม ก็จับแก้มอีขาวแล้วพูดเกี้ยวพาอีลี ๆ รักยอมถอดแหวนให้
แลผู้มีชื่อทั้งนี้กระทำทุจริตผิดหนักหนา เปนมหาโจรปล้นพระสาศนาชุกชุมขึ้น ทั้งนี้
เพราะราชาคณะอธิบดีเถรานุเถระผู้เปนอุปฌาอาจาริย หาความกะตัญูกัตเวทีต่อพระสาศนาไม่
มิได้ประพฤติ์ตามพระพุทธฏีกาสัตตาปริหานิยธรรมเจ็ดประการ
มิได้ประชุมพร้อมกันตรวจตราว่ากล่าวให้เหนดีแลร้ายไม่มี
หากว่าผู้มีชื่อฆราวาศเอาเนื้อความมาว่าจึ่งปรากฏขึ้น ได้เอามาชำระว่ากล่าวขับเฆี่ยนพันทนาการ ประจานโทษตะเวนบกสามวันเรือสามวัน เพื่อจะมิให้ดูเยี่ยงกันทำลายพระสาศนา
ทรงพระกรุณาจะใคร่ยกโทษพระราชาคณะทั้งปวงอีก แต่ให้งดโทษไว้ครั้งหนึ่งก่อน แลพระราชาคณะเปนอธิบดีสงฆ์ รู้พระไตรยปิฎก ควรจะรู้คุณพระศรีรัตนไตรยว่า อาตมานี้เทพามนุษยทั้งปวงกระทำนมัศการเคารพเปนที่บูชาทั้งนี้ เพราะอำนาทอาตมาเองหามิได้ เพราะคุณพระรัตนไตรยสถิตอยู่เหนือเศียรเกล้าอาตมา ควรจะกะตัญูกัตเวทีสนองพระคุณรักษาพระพุทธสาศนาอย่าให้เศร้าหมองจงได้
มาทว่าจะขัดสนประการใด ฝ่ายข้างพระราชอาณาจักร ก็ได้ถวายปติญาณเปนโยมขาดในพระพุทธสาศนาแล้ว ควรจะเอาเนื้อความข้อขัดในพระสาศนานั้น มาแจ้งถวายพระพร อันนี้ก็มิได้กระทำ
แต่ฝ่ายข้างพระราชอาณาจักรนี้เร่งร้อนรนหนัก ให้นักปราชราชบัณฑิตยสังฆการีธรรมการ ออกมาประเดียงแจกกฎหมายให้พระราชาคณะทั้งปวง เร่งกำชับตรวจตรากันรักษาพระจัตุปาริสุทธิศีล ปรฏิบัติตามคันธธุระวิปัศนาธุระ แลพระราชกำหนดเก่าใหม่อยู่เนือง ๆ ฉนี้ ก็ยิ่งมีสมณะสามเณรเปนมหาโจรปล้นพระสาศนาขึ้นมากมายฉะนี้ มิควรหนักหนา
แต่นี้สืบไปเมื่อน่า ห้ามมิให้สมณะสามเณรเถรชี กระทำความชั่วทุจริตผิดพระวินัยบัญญัติบันดาพรรณนาโทษมานั้น แลห้ามมิให้เอาเยี่ยงอ้ายอีมีชื่ออันกระทำอยาบช้าทำลายพระสาศนา อันกล่าวมาในต้นพระราชกำหนดนั้นจงทุกประการ
อนึ่ง พระราชาคณะทั้งปวง ก็ได้ถวายปติญาณว่า จะกำชับว่ากล่าวให้พระสงฆ์สามเณรรักษาชาตะรูปะระชะฏะสิกขาบทอันนี้ให้บริบูรณ ฟังดูก็เหนหายุติไม่
กฎแต่ก่อนก็ให้ประกาศไปว่าจะเอาโทษทั้งสมณะแลฆราวาศ
แลให้สังฆการีธรรมการสอดแนมจับเอาตัวผู้ถวายเงินทอง แลภิกษุเถรเณรชีผู้รับเงินทองให้ได้ เอามาว่ากล่าวแลเถรเณร ให้รู้สิกขาบทของตัวและเล่าเรียนพระบริญัติ
โยมวัดกับเถรเณรให้ถากซายดายหญ้าแผ้วถางวัดวาอารามให้เตียน ให้พระสงฆ์เอาคราดกราดพื้นอารามให้ราบรื่นเปนพุทธบูชาจำเริญศรัทธาเทพยาดามนุษยทั้งปวง”