วุ่นทั้งเมือง! สามีชาวฝรั่งเศสโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน หลังลืมภรรยาไว้ที่ปั๊มน้ำมันบนทางด่วน แต่จำไม่ได้ว่าเป็นจุดไหน ทำเอาจนท.ต้องระดมกำลังค้นหาทั่วเส้นทาง
สื่อต่างประเทศเผย เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2568 ชายวัย 62 ปี จากกรุงปารีสได้ออกเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนที่ประเทศโมร็อกโกพร้อมกับภรรยา และลูกสาว โดยใช้รถครอบครัวในการเดินทาง พวกเขาแวะพักเติมน้ำมันตามปั๊มน้ำมันหลายแห่งตลอดทาง แต่ในช่วงเวลาหนึ่งของการแวะพักนั้น กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น!
เมื่อเวลาประมาณตี 4 ครึ่ง ชายคนดังกล่าว ได้ขับรถออกจากปั๊มน้ำมันโดยที่ไม่รู้ตัวว่าเขาได้ “ลืมภรรยา” ไว้ที่นั่น ซึ่งเขามารู้ตัวอีกทีหลังจากขับไปไกลถึงประมาณ 300 กิโลเมตรเข้าไปแล้ว จากนั้นเขาจึงรีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือในเวลาต่อมา
ภาพประกอบ
การสนทนาเป็นไปอย่างประหลาด เพราะชายคนนี้ไม่เพียงแต่ต้องอธิบายว่า “เขาลืมภรรยาไว้ที่ปั๊มน้ำมันได้อย่างไร?” แต่ยังจำไม่ได้อย่างแน่ชัดว่าปั๊มน้ำมันที่ว่านั้นอยู่ที่ไหนอีกด้วย
โดยหน่วยตำรวจ ‘Gendarmerie’ เขตลาร์เดสของฝรั่งเศสให้สัมภาษณ์กับสถานีสื่อในท้องถิ่นว่า “ทางเรารับสายที่สร้างความสับสนนี้เวลาประมาณ 8:30 น.”
“ชายคนนั้นไม่สามารถจำได้ว่าเขาแวะพักที่ไหน หรือเมื่อไร เขาเพียงบอกได้ว่าเขาแวะพักแถวเมืองออร์เลอองส์ เราจึงติดต่อเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เพื่อให้ช่วยตรวจสอบ”
สิ่งที่น่าสนใจคือ “ลูกสาววัย 22 ปีของทั้งคู่ยังคงอยู่ในรถตลอดเวลา แต่เธอก็ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ได้มากนัก” เพราะเธอหลับตลอดทาง และไม่รู้เลยว่าพ่อของเธอลืมแม่ไว้ที่ไหน?
ภาพประกอบ
แม้ทางเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบจุดพักรถหลายแห่งตามทางหลวงแล้ว ก็ยังไม่พบตัวหญิงที่หายไป ซึ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น เพราะเริ่มมีข้อสงสัยว่าชายวัย 62 ปีรายนี้อาจตั้งใจลืมภรรยาไว้
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวประหลาดนี้ก็จบลงด้วยดี! หลังเจ้าหน้าที่สามารถตามหาภรรยาที่หายไปได้ในที่สุด โดยได้รับความช่วยเหลือจากผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ซึ่งสามารถระบุตำแหน่งโทรศัพท์ของเธอได้
โดยเธออยู่ที่จุดบริการริมทางหลวงในเขตเดอ-เซฟวร์ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่สามีรู้ตัวว่าภรรยาหายไปถึง 300 กิโลเมตร หญิงคนดังกล่าวไม่ได้ขยับไปไหนเลยตั้งแต่เวลาตี 4 ครึ่ง โดยนั่งรอให้ครอบครัวกลับมารับ
หลังการสืบสวนสั้น ๆ เจ้าหน้าที่สรุปได้ว่า ชายชาวฝรั่งเศสคนนี้ลืมภรรยาโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นเมื่อทั้งครอบครัวได้กลับมาพบกันอีกครั้ง พวกเขาจึงได้รับอนุญาตให้เดินทางต่อไปยังประเทศโมร็อกโกได้ในเวลาต่อมา
ขอบคุณที่มา: odditycentral