กสิกร ชี้ไทยเสี่ยงสูญ 1.1 แสนล. หากรัฐเปิดนำเข้าหมูแลกดีลภาษีสหรัฐ
ข่าวสด July 11, 2025 04:00 PM

ศูนย์วิจัยกสิกร ชี้ไทยเสี่ยงสูญ1.1แสนล้าน หากรัฐเปิดนำเข้าหมูแลกดีลภาษีสหรัฐ

11 ก.ค.2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยบทวิเคราะห์ในหัวข้อ จะเกิดอะไรขึ้นกับวงจรตลาดหมูไทย โดยระบุว่า เนื้อหมูและเครื่องใน เป็นหนึ่งในสินค้าเกษตรอันดับต้น ๆ ที่ถูกนำมาใช้ต่อรองเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ หลังจากสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในอัตรา 36% มีผลบังคับใช้ 1 ส.ค. 68 หากไทยเปิดให้หมูสหรัฐฯ ราคาถูกเข้ามาตีตลาด จะกระทบทั้งห่วงโซ่อุปทานหมูไทย โดยเฉพาะเกษตรกรที่จะถูกบีบให้เลิกกิจการมากขึ้น รวมถึงมูลค่าตลาดเนื้อหมูที่อาจสูญเสียไปราว 112,330 ล้านบาท

“เนื้อหมู-เครื่องใน” อาจตกเป็นหนึ่งในข้อต่อรองภาษีทรัมป์

เนื้อหมูและเครื่องใน เป็นหนึ่งในรายการสินค้าเกษตรอันดับต้น ๆ ที่ถูกนำมาใช้ต่อรองเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ หลังจากในวันที่ 7 ก.ค. 2568 สหรัฐฯ ได้ประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ฉบับใหม่ โดยไทยโดนเรียกเก็บในอัตรา 36% และจะมีผลบังคับใช้ 1 ส.ค. 2568

ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีแนวโน้มกดดันให้ไทยนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องใน ที่ Made in USA เนื่องจากเป็นรายการสินค้าเกษตร เข้าข่ายที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative: USTR) ได้ประเมินไว้ให้ไทยต้องเปิดตลาด และเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น ด้วยเหตุที่ไทยเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้จากสหรัฐฯ สูง ในขณะที่ไทยนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ในสัดส่วนน้อย

หมูไทย แข่งขันสหรัฐฯ ยาก

หมูสหรัฐฯ มีความโดดเด่นในด้านการผลิตระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าไทย โดยเมื่อเปรียบเทียบกับในแต่ละด้าน จะพบว่า

1.ผู้ผลิตสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตอันดับ 3 ของโลก คิดเป็น 12.6 ล้านตัน หรือ 11% ของผลผลิตหมูทั้งโลก ขณะที่ ไทย ผลิตได้น้อยกว่าสหรฐฯ 8 เท่า หรือผลิตได้ราว 1.6 ล้านตัน

2.ผู้ส่งออกสหรัฐฯ เป็น ผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก คิดเป็น 3.2 ล้านตัน หรือ 31% ของปริมาณส่งออกหมูทั้งโลกส่วนไทย ส่งออกน้อยมาก ใช้ในประเทศเป็นหลัก

3.อาหารเลี้ยงหมู สหรัฐฯ มีความพร้อมด้านวัตถุดิบราคาถูก ทั้งข้าวโพดและถั่วเหลืองที่สหรัฐฯ ผลิตเองได้มากขณะที่ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารสัตว์ โดยเฉพาะข้าวโพด และถั่วเหลือง

4.ขนาดฟาร์มสหรัฐฯ มี ฟาร์มขนาดใหญ่ มีหมูมากกว่า 5,000 ตัว/ฟาร์ม และส่วนใหญ่เป็น factory farmขณะที่ไทยมีฟาร์มขนาดเล็ก มีหมูมากกว่า 50 ตัว/ฟาร์ม และส่วนใหญ่เป็นฟาร์มแบบดั้งเดิม

5.สัดส่วนการผลิตหมูที่ได้จากฟาร์ม สหรัฐฯ 90% มาจากฟาร์มขนาดใหญ่ ส่วน75% มาจากฟาร์มขนาดกลาง

6.ภาวะหมูล้นตลาด สหรัฐฯ การผลิตมากกว่าความต้องการบริโภค 1.27 เท่า ส่วนไทยผลผลิตเพียงพอกับการบริโภคในประเทศ พึ่งพาตัวเองได้ดี

7.ต้นทุนการผลิต สหรัฐฯ ต้นทุนต่ำ จากการมี Economy of Scale ในฟาร์มขนาดใหญ่ ขณะที่ไทยต้นทุนสูง จากการมีฟาร์มขนาดเล็กเป็นส่วนใหญ่

หมูไทย แพงกว่าสหรัฐฯ 1.3 เท่า

ศักยภาพหมูสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง และมีต้นทุนการผลิตต่ำ ทำให้สหรัฐฯ สามารถขายหมูได้ในราคาต่ำ โดยในช่วงปี 2563-2567 ราคาขายหมูสหรัฐฯ เฉลี่ยที่ 1.7 ดอลลาร์ฯต่อกก. ขณะที่ราคาขายหมูไทย เฉลี่ยที่ 2.3 ดอลลาร์ฯต่อกก.

ดังนั้น หากไทยยอมเปิดตลาดให้หมูสหรัฐฯ เข้ามาตีตลาด จะส่งผลกระทบทั้งห่วงโซ่อุปทานหมูไทยเนื้อหมูและเครื่องในราคาถูกจากสหรัฐฯ ที่จะทะลักเข้ามายังไทย จะกระทบต่ออุตสาหกรรมหมูไทยที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) เป็นหลัก ซึ่งแต่ละผู้เล่นต่างมีความเชื่อมโยง และจะกระทบต่อเนื่องกันเป็น Domino Effect ดังนี้

1.เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู จำนวน 1.49 แสนราย ที่เกือบทั้งหมดเป็นรายย่อยกว่า 97% จะได้รับผลกระทบโดยตรงให้ว่างงาน และขาดรายได้ ซ้ำเติมเดิมที่ผู้เลี้ยงลดลงไปแล้วกว่า 21% ในช่วงปี 2564-2567 จากภาวะขาดทุนสะสมจนต้องเลิกกิจการไป

2.เกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์ อย่างรำสด ข้าวโพด ปลายข้าว (วัตถุดิบหลักในประเทศที่ใช้เลี้ยงหมู) รวมราว 5 ล้านครัวเรือน จะมีผลผลิตเหลือ และกดดันราคาให้ตกต่ำ กระทบรายได้เกษตรกรกลุ่มนี้ให้ลดลง

3.โรงชำแหละ อาจถูกตัดวงจรขั้นตอนนี้ไป จนต้องเลิกกิจการในที่สุด

4.เขียงหมู ถูกกดดันรายได้บางส่วนจากเนื้อหมูและเครื่องในหมูสหรัฐฯ ที่ทำการแยกชิ้นส่วนสำเร็จพร้อมบริโภคมาบ้างแล้ว

5.มูลค่าตลาดเนื้อหมูไทย คาดสูญเสียเบื้องต้นราว 112,330 ล้านบาท ในกรณีที่ไทยเปิดตลาดให้เนื้อหมูสหรัฐฯ เข้ามาอย่างเสรี 100% ทั้งนี้ การประเมินดังกล่าวยังไม่นับรวมความสูญเสียในกรณีที่ไทยนำเข้าเครื่องในหมูด้วย

6.ผู้บริโภคและร้านอาหาร แม้จะสามารถซื้อเนื้อหมูและเครื่องในหมูสหรัฐฯ ได้ในราคาถูก ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตอาหารได้ แต่ในระยะยาว สารเร่งเนื้อแดง ในหมูสหรัฐฯ จะทำให้ผู้บริโภคอาจเกิดอาการข้างเคียงต่อสุขภาพได้หลากหลาย

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.