ท่ามกลางพายุทางเศรษฐกิจที่โหมกระหน่ำใส่ผู้ประกอบการในหลายธุรกิจให้ต้องดิ้นรนและหากลยุทธ์ เพื่อทำให้สร้างยอดขายและเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงธุรกิจร้านอาหารที่ต้องปรับตัวกันอย่างหนัก เพราะกำลังซื้อลูกค้าบางกลุ่มหดหาย อารมณ์การจับจ่ายแทบไม่มี แม้เงินในกระเป๋าจะเท่าเดิม แต่ด้วยค่าใช้จ่ายในชีวิตหลายอย่างสูงขึ้น ทำให้ผู้คนต่างประหยัดค่าใช้จ่าย จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการต่างก็เร่งทำโปรโมชั่นกันอย่างดุเดือด เพื่อสร้างยอดขายและดึงคนเข้าใช้บริการ แต่ก็อาจจะไม่ใช่วิธีการที่ยั่งยืนมากนัก
ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 20 ปี ผู้บริโภคในยุคนั้นคงรู้จักแบรนด์ “ชาบูชิ” อย่างแน่อน เพราะในตอนนั้นแบรนด์นี้นับว่าเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่เป็นผู้นำตลาดบุฟเฟต์ชาบู-ชาบู และซูชิ ด้วยคอนเซ็ปต์การเสิร์ฟอาหารบนสายพานเป็นรายแรก ๆ และจำนวนสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ หรือมากกว่า 200 แห่งกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่อยู่ในความทรงจำของผู้บริโภค แต่ในขณะเดียวกันผู้บริโภคเหล่านั้นก็เติบโตไปตามอายุของแบรนด์ที่มากขึ้น บวกกับพฤติกรรมที่ปรับเปลี่ยนไปจากเดิม การแข่งขันที่มากขึ้นเพราะมีหลายแบรนด์ในตลาด รวมถึงกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ ที่อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับแบรนด์มากนัก ทำให้ “ชาบูชิ” ต้องจัดทัพ ยกเครื่องใหญ่ในรอบ 20 ปี หลังจากไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวมาพักใหญ่
ไพศาล อ่าวสถาพร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าตอนนั้นเรามองเห็นเทรนด์ของตลาดที่เริ่มมาจากการที่ผู้บริโภคชาวไทยชอบรับประทานอาหาร Hot Pot และสุกี้ แม้ว่าชาบูชิจะจับกลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ แต่ทว่าคนรุ่นใหม่เหล่านั้นคือเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ลูกค้าก็มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และยังอยู่กับแบรนด์มาอย่างเหนียวแน่น ภาพของการขยายสาขาชาบูชิสมัยก่อน จะเน้นทำเลห้างท้องถิ่นเป็นหลัก และอยู่ทั่วประเทศ เนื่องจากในยุคนั้นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ยังมีไม่มากนัก แต่พอเวลาผ่านไป ผู้ประกอบการของศูนย์การค้าขนาดใหญ่เริ่มบุกไปต่างจังหวัดมากขึ้น ทำให้แบรนด์ต้องปรับเปลี่ยนการเปิดและปิดสาขาตามไปด้วย
แน่นอนว่าแบรนด์ยังคงทาร์เก็ตเป็นคนรุ่นใหม่ ก่อนจะทำการรีเฟรชแบรนด์ ผู้บริโภคยังมีมุมมองที่ดีกับแบรนด์ อาจจะเป็นตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่พาไปใช้บริการ แต่ก็อาจจะหลงลืมไปบ้าง เนื่องจากมีหลายแบรนด์มาเล่นในตลาดมากขึ้น จะเห็นได้ว่าผู้บริโภคเปลี่ยนไปเร็วมาก แบรนด์โออิชิอยู่มา 25 ปี ส่วนชาบูชิอยู่มา 20 ปี ไม่ได้เติบโตมาเฉพาะสายธุรกิจ แต่ยังเติบโตในใจผู้บริโภคด้วย โดยเฉพาะ Gen Z ที่เติบโตสูง เริ่มกำลังซื้อดี และเป็นกลุ่มใหญ่ แม้ว่ากลุ่มนี้จะทำการตลาดค่อนข้างยาก แต่การที่เราแบรนด์ใหญ่แต่ก็ต้องการที่จะเติบโตมากขึ้น เป็นการรีเฟรชแบรนด์ครั้งใหญ่ หลังจากที่ไม่ได้ทำอะไรมานาน เป็นพี่ใหญ่ของวงการ แต่ก็ต้องลุกขึ้นมารีเฟรชแบรนด์ ทำตลาดให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น
ศสัย ตังเดชะหิรัญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวเสริมว่า แบรนด์ที่อยู่มานานไม่จำเป็นต้องแก่ แต่ต้องกล้าพอที่จะเปลี่ยนไปพร้อมผู้บริโภค ในฐานะแบรนด์/ร้านอาหารญี่ปุ่น ที่อยู่กับคนไทยมานานกว่า 20 ปี วันนี้ ‘ชาบูชิ’ ต้องการเป็นมากกว่าความอร่อย เราอยากเข้าไปอยู่ในอารมณ์ ความรู้สึก และความสัมพันธ์ของคนรุ่นใหม่ ผ่านประสบการณ์ที่เขาอยากเล่า แชร์ และกลับมาอีก การรีเฟรชแบรนด์ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เปลี่ยนภาพลักษณ์ แต่เป็นการปรับวิธีคิดจากข้างใน พร้อมออกแบบประสบการณ์ใหม่ให้เชื่อมโยงกับพฤติกรรมจริงของผู้บริโภค ด้วยความเชื่อว่า ร้านอาหารยุคนี้ไม่ได้ขายแค่อาหาร แต่คือแพลตฟอร์มที่สร้างความรู้สึกร่วม และสร้างคุณค่าให้กับทุกโมเมนต์ของลูกค้าได้จริง ๆ
สำหรับหนึ่งในไฮไลต์สำคัญของการรีเฟรชแบรนด์ครั้งนี้ คือ การเปิดตัวพรีเซนเตอร์คู่แรกของแบรนด์ ได้แก่ คู่มิตรภาพ(สุดฮอต)แห่งปี #สกายนานิ “สกาย” วงศ์รวี นทีธร และ “นานิ” หิรัญกฤษฎิ์ ช่างคำ ซึ่งเป็นตัวแทนของความสดใส มิตรภาพ และพลังบวก ในแบบที่ผู้บริโภครุ่นใหม่สามารถเชื่อมโยงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ ที่รวมความแตกต่างแต่ลงตัว ทั้งชาบู – ชาบู และซูชิ สองรสชาติที่ขาดกันไม่ได้ และช่วยยกระดับแบรนด์ให้ดูเข้าถึงง่ายแต่มีเสน่ห์ เหมาะกับกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มแฟนคลับที่มีอิทธิพลต่อเทรนด์ในโซเชียล
นอกจากนี้ ยังเสริมกลยุทธ์การตลาดภายใต้แนวคิด Emotional Experience โดยดึงจุดแข็งและแนวคิดหลักของแบรนด์ “รสชาติความสุขไม่สิ้นสุด” (Good Taste Great Time Never End) มาพัฒนาต่อยอดสู่ประสบการณ์ที่เชื่อมโยงทั้งอารมณ์และความฟิน ผ่านสามแกนสำคัญ Quality – Creativity – Great Moment (engagement) ได้แก่
Shabushi ALL-STAR SERIES: ยกทัพเมนูชาบู – ชาบู สุดพรีเมียม และวัตถุดิบคุณภาพที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี ให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงความใส่ใจ ความคุ้มค่า และความอร่อยอย่างต่อเนื่อง ในทุกครั้งที่มาใช้บริการ
Shabushi SUSHI-MASTER SERIES: ยกระดับประสบการณ์ซูชิ…ข้าวปั้นสารพัดหน้า ด้วยเมนูใหม่ที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างตั้งใจและพิถีพิถัน ให้ลูกค้าได้ลองของใหม่ที่อร่อยขึ้นอีกขั้น ตอบโจทย์ทั้งคอซูชิจริงจัง และนักกินสายแชร์
Shabushi Great Moment: เสริมความประทับใจด้วยบริการที่อบอุ่น และกิจกรรมในร้านที่สร้างโมเมนต์สนุกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกมื้อไม่ใช่แค่กิน…แต่คือความรู้สึกดี ๆ ที่น่าจดจำและอยากกลับมาอีก
ทั้งนี้ เพื่อให้แคมเปญเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบรนด์ได้วางแผนการสื่อสารแบบครบวงจร ผ่านเครื่องมือที่หลากหลาย ทั้งการจัดงานแถลงข่าวในรูปแบบกึ่งแฟนมีต การผลิตภาพยนตร์โฆษณาออนไลน์ที่มี “สกาย – นานิ” ร่วมถ่ายทอดเรื่องราว และส่งต่อ “รสชาติความสุขไม่สิ้นสุด” ไปจนถึงการปล่อยเพลงธีมพิเศษ ที่เชิญแฟน ๆ ร่วมสนุกไปกับจังหวะสดใสแบบฉบับ ชาบูชิ โดยสามารถติดตามคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้ผ่านช่องทางสื่อโซเชียล และสื่อโฆษณานอกบ้าน (OOH) ที่ครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ และหัวเมืองหลักทั่วประเทศ
การรีเฟรชแบรนด์ครั้งนี้ เรียกได้ว่ามีความสำคัญต่อกลุ่มธุรกิจอาหารเป็นอย่างมาก เพราะแบรนด์ชาบูชิมียอดขาย มากถึง 80% ของธุรกิจร้านอาหารของโออิชิ “หลังจากได้มีการปล่อยแคมเปญออกไป ก็มีผลการตอบรับดีเกินคาด ได้ลูกค้ากลุ่ม Gen Z เพิ่มขึ้นมาก และยอดขายโตขึ้นเป็น 2 สองหลัก”
นับเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวของพี่ใหญ่ในวงการครั้งใหญ่ที่ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จ ขยายฐานคนรุ่นใหม่ พร้อมสร้างยอดขายเติบโตมากถึงสองหลัก คงต้องมาดูกันต่อว่าภายใต้การนำทัพของ “ไพศาล” จะได้เห็น Movement อะไรอีกบ้าง แต่เชื่อมือได้เลยเพราะจากความชำนาญในวงการธุรกิจอาหารมามากกว่า 40 ปี ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกา 16 ปี และในไทยอีก 25 ปี และทำร้านอาหารมาหลายประเภท บวกกับแนวคิดส่วนตัวที่ว่า “หากคิดจะทำ จงทำให้เกินกว่าที่ใครคาดเพราะความธรรมดาไม่เคยเปลี่ยนโลก”…….แนวคิดที่นำพาธุรกิจภายใต้แผนงาน PASSION 2030 กลุ่มธุรกิจอาหารในเครือไทยเบฟ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนนั่นเอง