ชูโมเดลเฟสติวัลกีฬา ดึงนักวิ่งทั่วโลกเข้าไทย จี้รัฐ-เอกชนร่วมมือระยะยาว 5 ปี
Pornchanok July 12, 2025 11:26 AM

กอบเกียรติ แสงวนิชย์ ผู้จัดงาน Amazing Thailand Marathon Bangkok และ IRONMAN 70.3 Bangsaen เผยพลังของกิจกรรมวิ่งและอินฟลูเอนเซอร์ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวไทย ดึงเงินเข้าท้องถิ่นนับร้อยล้าน เสนอรัฐ-เอกชนวางแผนร่วมมือยั่งยืน 5 ปี ชูไทยมี “ความยืดหยุ่น” สูง พร้อมโกอินเตอร์ด้วยเสน่ห์และคุณภาพ

นายกอบเกียรติ แสงวนิชย์ ผู้จัดงานวิ่ง Amazing Thailand Marathon Bangkok และ IRONMAN 70.3 Bangsaen กล่าวในงาน SPLASH-Soft Power Forum 2025 ภายใต้หัวข้อ ”SPARK Influencer Marketing Playbook : How Influencers Elevate Thai Festivals Worldwide สูตรลับพาเทศกาลไทยไประดับโลกด้วยพลังอินฟลูเอนเซอร์“ ว่า งานวิ่งและกิจกรรมกีฬาไม่ใช่เพียงการออกกำลังกาย แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทย ผ่านพลังของ Soft Power และ Influencer Marketing

“ผมไม่ใช่คนในวงการมาร์เก็ตติ้งหรือเอเยนซี่ แต่ผมเป็นคนจัดงานวิ่ง และผมเชื่อว่ากีฬาก็เป็นหนึ่งใน Soft Power ที่สำคัญมาก โดยเฉพาะในยุคนี้ คนเครียด เศรษฐกิจตก คนหันมาวิ่งเพื่อคลายเครียด รักษาสุขภาพ สร้างพลังให้สู้ชีวิต”

นายกอบเกียรติกล่าวต่อว่า ปัจจุบันกิจกรรมวิ่งกลายเป็นวัฒนธรรมระดับโลก โดยเฉพาะหลังยุคโควิด ผู้คนหันกลับมาใส่ใจสุขภาพ และเมืองไทยมีศักยภาพสูงในการดึงดูดนักวิ่งจากทั่วโลกให้มาร่วมเทศกาลวิ่ง ซึ่งส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจในระดับมหาศาล

“อย่างงานที่ผมจัดมีนักวิ่งสมัครเกือบ 50,000 คน ยังไม่รวมผู้ติดตามแต่ละคน ซึ่งจากผลสำรวจ ผู้ร่วมงานหนึ่งคนจะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยมากกว่า 10 เท่า ที่กระจายไปถึงที่พัก ร้านอาหาร ร้านค้าท้องถิ่น ถือเป็นเม็ดเงินที่ส่งตรงสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง”

เทรนด์ “เฟสติวัลกีฬา” พาไทยโกอินเตอร์

นอกจากนี้ ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบด้านความยืดหยุ่นในการจัดงานเทศกาลที่หลากหลาย ไม่เหมือนในยุโรปหรืออเมริกาที่มีข้อจำกัดด้านกฎหมายมากมาย เช่น ห้ามวิ่งซอกแซก ต้องมีโซนเฉพาะ แต่เมืองไทยสามารถจัดงานให้มีความครีเอทีฟสูง และเป็นเสน่ห์เฉพาะตัว

“เราได้เปรียบที่เรา flexible สูงมาก แต่เราก็ต้องจัดงานให้ถึงมาตรฐาน ถ้าโปรดักชั่นไม่ดี โครงสร้างไม่ปลอดภัย อุบัติเหตุเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ทุกอย่างพังหมด เราต้องมีสามัญสำนึกในการยกระดับคุณภาพสู่มาตรฐานสากล”

ย้ำ “ความยั่งยืน” ต้องมาพร้อม “คอมมิตเมนต์”

หนึ่งในประเด็นที่นายกอบเกียรติเน้นย้ำคือ “ความยั่งยืน” ของเฟสติวัล ไม่ใช่แค่จัดปีเดียวแล้วจบ แต่ต้องมีการวางแผนระยะยาว รัฐและเอกชนต้องจับมือกันให้แน่น และมี Commitment อย่างน้อย 5 ปี เพื่อให้เกิดผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจน

“ผมบอกกับรัฐบาลเลยว่า ถ้าคุณให้การสนับสนุนผม ผมขอ 5 ปี เพราะงานแบบนี้ไม่ใช่ทำปีเดียวแล้วเห็นผล ถ้าภายใน 2-3 ปี ผมทำไม่ได้ ผมคืนทุกอย่าง แต่มันต้องมีเวลาพัฒนา”

อินฟลูเอนเซอร์ = พลังที่แท้จริง

สำหรับอินฟลูเอนเซอร์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างกระแสให้กับเทศกาล โดยเฉพาะในระดับนานาชาติ เพราะพวกเขาคือ “เสียง” และ “หน้าต่าง” ของประเทศไทยที่ส่งออกความน่าสนใจของงานไปยังผู้ติดตามทั่วโลก

“เรามีตัวอย่างแล้วว่างานที่จัด คนมาเองโดยไม่ได้เชิญ อย่างคลิปโชเก้ มาเองเพราะเขารู้ว่างานเราน่าสนใจ เขาอยากมาเล่า อยากแชร์ และนั่นคือพลังของอินฟลูเอนเซอร์ที่แท้จริง ผมดีลกับรัฐแบบนักเลงเลยครับ ถ้าคุณให้ผม 30 ล้าน ผมการันตีว่าถ้าได้เป้าหมาย ผมคืนให้คุณครบ เพราะผมเชื่อมั่นว่างานพวกนี้สร้างรายได้หลักร้อยล้านให้ประเทศได้”

รัฐ-เอกชนต้อง “ร่วมมือ”

อย่างไรก็ตาม การจัดงานเทศกาลให้ประสบความสำเร็จ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้จัดเพียงลำพัง แต่ต้องมีความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะในเรื่องของการประชาสัมพันธ์ ดึงนักวิ่งต่างชาติ เช่น จากจีน ญี่ปุ่น ยุโรป ฯลฯ

“ผมขอให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหานักวิ่งต่างชาติให้ผม 5,000 คน แล้วผมดูแลเอง ผลคือล่าสุด ททท.ส่งมาให้เกือบครบ จีนอย่างเดียวก็ 1,500 คนแล้ว ประเทศไทยไม่ตันครับ ถ้าเราคุยกันแบบตรงไปตรงมา”

สุดท้าย นายกอบเกียรติกล่าวทิ้งท้ายว่า Soft Power ที่แท้จริงคือความคิดสร้างสรรค์ ความร่วมมือ และความเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทยที่จะผลักดันเทศกาลของไทยให้กลายเป็น Global Event ได้จริง

“สิ่งที่เราทำไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่มันคือการสร้างคน สร้างสุขภาพ สร้างความคิดบวก ผมอยากให้รัฐ เอกชน และผู้จัดทุกคนร่วมมือกัน ผลักดันงานลักษณะนี้ต่อเนื่องไปอีก 5 ปี เพื่อสร้างเศรษฐกิจ สร้างชื่อเสียง และสร้างรากฐานที่ยั่งยืนให้ประเทศไทย”

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.