เดินหน้ารุกเต็มที่สำหรับกลุ่มสายการบิน “แอร์เอเชีย” โดยล่าสุดลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับแอร์บัส ณ ปารีส เพื่อจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส A321XLR 50 ลำ พร้อมสิทธิในการซื้อเพิ่มเติมอีก 20 ลำ รวม 70 ลำ มูลค่า 12.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมีกำหนดทยอยส่งมอบตั้งแต่ปี 2571-2575
เพื่อสนับสนุนการขยายเครือข่ายสายการบินราคาประหยัดทั่วโลก ภายใต้กลยุทธ์ Multihub หรือหลายศูนย์ปฏิบัติการการบิน โดยกำหนดให้ “กัวลาลัมเปอร์” และ “กรุงเทพฯ” เป็นศูนย์กลางการบินสำคัญ
“โทนี่ เฟอร์นันเดส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Capital A และที่ปรึกษาและผู้บริหารกลุ่มแอร์เอเชีย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ประมาณ 20 คน ผ่านระบบ Zoom ถึงแผนการซื้อและบริหารฝูงบินของกลุ่มแอร์เอเชียภายหลังการเซ็นเอ็มโอยู ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
“โทนี่” เริ่มต้นให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อ 23 ปีที่แล้ว ช่วงที่เขาเริ่มก่อตั้งแอร์เอเชีย ความฝันของเขาคือ “การทำให้ทุกคนสามารถมาอาเซียนได้” และตอนนี้แผนของเขาคือ แอร์เอเชียจะเป็นสายการบินราคาประหยัดแห่งแรกของโลกที่ทำให้ผู้คนในอาเซียนสามารถบินในราคาประหยัดไปยังยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้ในอนาคตอันใกล้
“ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าทุกคนจะสามารถบินระหว่างภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ได้ถูกลง”
เมื่อถามว่า ตามแผนการบินจากฮับหลักของแอร์เอเชียในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังยุโรปและสหรัฐอเมริกาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะถูกลงเท่าใด “เฟอร์นันเดส” บอกว่า ถ้าเทียบกับสายการบินทั่วไปคาดว่าราคาตั๋วโดยสารของเอเชียในวันนั้นจะถูกลง 30-40% และอาจถูกลงถึง 50%
“เป้าหมายในที่นี้ไม่ใช่การแย่งส่วนแบ่งตลาดของใคร แต่เป็นการให้ผู้คนได้บินไปยังสถานที่ที่ไม่เคยฝันว่าจะได้ไป” เฟอร์นันเดสอธิบายเพิ่มเติม พร้อมบอกด้วยว่า “ผมคิดว่าโอกาสนี้ยิ่งใหญ่มาก”
เคล็ดลับคือ การใช้เครื่องบินแอร์บัส A321XLR ซึ่งเป็นเครื่องบินลำตัวแคบรุ่นใหม่ที่สั่งซื้อไปและอยู่ระหว่างรอการส่งมอบนี้ที่มีความสามารถบินได้นานถึง 9 ชั่วโมง และประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้นถึง 20% ต่อที่นั่ง รวมถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและส่งเสริมเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มแอร์เอเชียด้วย
โดยเชื่อมสนามบินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น กรุงเทพฯ และกัวลาลัมเปอร์ (มาเลเซีย) กับตะวันออกกลาง แล้วบินต่อไปยังยุโรปในทิศตะวันตก ส่วนทางตะวันออกจะเชื่อมจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังไต้หวัน หรือญี่ปุ่น แล้วบินต่อไปยังสหรัฐอเมริกา
“ตอนนี้โลกทั้งใบอยู่ในกำมือเราแล้ว” เฟอร์นันเดสย้ำ
ต่อคำถามที่ว่าเครื่องบินรุ่นใหม่ซึ่งจะเริ่มส่งมอบตั้งแต่ปี 2028 หรือปี 2571 จะเปลี่ยนแปลงการจราจรทางอากาศราคาประหยัดจากประเทศไทยอย่างไร “เฟอร์นันเดส” ตอบว่า สำหรับประเทศไทยนั้นเราจะได้เห็นสนามบินภูเก็ตและเชียงใหม่กับเมืองต่าง ๆ ในอินเดียและจีนมีจำนวนเที่ยวบินตรงจำนวนมากขึ้น
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราเชื่อมั่นว่าจุดแข็งของแอร์เอเชีย คือ การเสนอเที่ยวบินราคาประหยัด ผมไม่คิดว่าเราเป็นผู้ขายพรีเมี่ยม”
และบอกอีกว่า เขาเชื่อว่าเครือข่ายทั่วโลกในอนาคตของสายการบินจะเป็น “เที่ยวบินแบบประหยัดทั้งหมดทั่วโลก”
โดยหลังจาก “เฟอร์นันเดส” ให้สัมภาษณ์ “แอร์เอเชีย” ได้ออกแถลงการณ์ตามมาอีกว่า เครื่องบิน A321XLR ลอตใหม่ที่อยู่ระหว่างรอรับมอบนั้นจะช่วยให้แอร์เอเชียสามารถให้บริการเส้นทางระยะไกลมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงเส้นทางไปยังเอเชียกลาง ตะวันออกกลาง และยุโรป
และจะเป็นก้าวสำคัญของแอร์เอเชียที่จะก้าวขึ้นเป็นสายการบินเครือข่ายลำตัวแคบราคาประหยัดแห่งแรกของโลก
พร้อมให้ข้อมูลด้วยว่า กลุ่มแอร์เอเชียตั้งเป้าที่จะขนส่งผู้โดยสาร 150 ล้านคนต่อปีภายในปี 2030 โดยมียอดรวมสะสมตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจำนวน 1.5 พันล้านคน
และในฐานะผู้บุกเบิกการเดินทางราคาประหยัด (โลว์คอสต์) วันนี้ “แอร์เอเชีย” กำลังยกระดับไปอีกขั้นเพื่อเป็นสายการบินเครือข่ายราคาประหยัดแห่งแรกของโลก ซึ่งจะเป็นการเติบโตแบบทวีคูณ
“เราได้มอบโอกาสให้ผู้คนในอาเซียนได้สำรวจเอเชีย ตอนนี้เราต้องการให้โลกได้เห็นอาเซียน และอาเซียนได้เห็นโลก โดยมีเครื่องบิน A321XLR และ A321LR ซึ่งเป็นรุ่นใหม่นี้คือตัวเปลี่ยนเกมที่ทำให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริง และเราภูมิใจที่จะเป็นผู้นำในการทำให้โลกของเราเล็กลง”
พร้อมย้ำว่า ฝูงบินใหม่จะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และกลยุทธ์เครื่องบินหลายลำจะช่วยให้สายการบินสามารถปรับความจุให้เข้ากับความต้องการ ลดการใช้เชื้อเพลิง และสนับสนุนรูปแบบการเติบโตที่ยั่งยืน และคุ้มค่าในภูมิทัศน์การแข่งขันระดับโลกในอนาคต
สำหรับตลาดประเทศไทยนั้น “ไทยแอร์เอเชีย” ยังคงเดินหน้าตอกย้ำภาพบินสะดวกเลือกได้ 2 สนามบิน คือ ท่าอากาศยานดอนเมือง (DMK) และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (BKK) เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้โดยสาร ทั้งเรื่องความสะดวกสถานที่ ใกล้ที่ไหนบินที่นั่น การต่อเที่ยวบิน และความคุ้มค่าด้านราคาที่มากขึ้น
“สันติสุข คล่องใช้ยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบิน “ไทยแอร์เอเชีย” บอกว่า ปัจจุบันสายการบินไทยแอร์เอเชียเป็นผู้นำตลาดการบินภายในประเทศ ด้วยส่วนเเบ่งการตลาดเเละเส้นทางบินที่มากที่สุด
โดยเป็นสายการบินราคาประหยัด หรือโลว์คอสต์แอร์ไลน์ รายเดียวที่ให้บริการที่กรุงเทพฯจาก 2 ท่าอากาศยานของประเทศไทย คือ ท่าอากาศยานดอนเมือง (DMK) และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (BKK) เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้โดยสาร ทั้งเรื่องความสะดวกสถานที่ ใกล้ที่ไหนบินที่นั่น การต่อเที่ยวบิน หรือความคุ้มค่าด้านราคาที่มากขึ้น
ล่าสุด “ไทยแอร์เอเชีย” ได้เปิดให้บริการเส้นทางบินจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอีก 3 เส้นทางใหม่สู่สุราษฎร์ธานี จำนวน 1 เที่ยวบินต่อวัน นราธิวาส จำนวน 1 เที่ยวบินต่อวัน และบุรีรัมย์ จำนวน 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ (ทุกวันอังคาร พฤหัสบดี เเละเสาร์)
“เราคาดหวังว่า 3 เส้นทางบินใหม่ จากสุวรรณภูมิสู่สุราษฎร์ธานี นราธิวาส และบุรีรัมย์ จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในครึ่งปีหลังได้อย่างดี โดยเฉพาะโอกาสดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมต่อเส้นทางในประเทศกับแอร์เอเชียได้สะดวกยิ่งขึ้น”
นอกจากนี้ ยังมีแผนเพิ่มให้บริการอีก 2 เส้นทางจากสุวรรณภูมิสู่เชียงรายเเละนครศรีธรรมราช ในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นี้เป็นต้นไป
ทำให้ “ไทยแอร์เอเชีย” มีเส้นทางบินในประเทศ เข้าออกจากสุวรรณภูมิมากสุดถึง 11 เส้นทาง ได้เเก่ เชียงใหม่ กระบี่ หาดใหญ่ ภูเก็ต ขอนเเก่น อุดรธานี สุราษฎร์ธานี นราธิวาส บุรีรัมย์ เชียงราย เเละนครศรีธรรมราช
เมื่อรวมกับอีก 22 เส้นทางจากบินตรงจากท่าอากาศยาน “ดอนเมือง” และ “เส้นทางบินข้ามภูมิภาค” จำนวน 8 เส้นทาง ทำให้ไทยแอร์เอเชียมีเส้นทางภายในประเทศมากสุดถึง 41 เส้นทาง รวม 118 เที่ยวบินต่อวัน
“ปัจจุบันสายการบินไทยแอร์เอเชียมีฝูงบินจำนวน 5 ลำประจำการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และจะเพิ่มอีก 1 ลำ เป็น 6 ลำภายในสิ้นปีนี้”
พร้อมระบุด้วยว่า “แอร์เอเชีย” เพิ่งได้รับการประกาศเป็น “สายการบินราคาประหยัดที่ดีที่สุดในโลก” จากการจัดอันดับโดยสถาบันสกายเเทรกซ์ เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ถือเป็นสมัยที่ 16 ติดต่อกัน และมีสถิติความตรงต่อเวลาสูงสุดในไทยจากสถิติโดยสถาบัน Cirium ในปีที่ผ่านมา
เป็นการตอกย้ำจุดยืน “ความคุ้มค่า” ควบคู่ “คุณภาพ” การให้บริการในระดับสากล