“ชัยเกษม นิติสิริ” ถูกจับตามองเป็นตัวเลือกนายกรัฐมนตรีหาก “แพทองธาร” พ้นตำแหน่ง แต่อดีตแถลงการณ์แก้ ม.112 กำลังกลายเป็นระเบิดเวลาทางการเมือง และบทเรียนจาก “พิธา” อาจย้อนมาปิดประตูอำนาจอีกครั้ง!?
หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิง เริ่มสั่นคลอนจากทั้งคลิปเสียงกับฮุน เซน คดีที่รอการวินิจฉัยในศาลรัฐธรรมนูญ และแรงกดดันทั้งในสภาและบนท้องถนน พรรคเพื่อไทยจึงตกอยู่ในสถานะ “ต้องมีแผนสำรอง”
ชื่อของ นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตรัฐมนตรียุติธรรม และอดีตอัยการสูงสุด ถูกดันขึ้นมาเป็น “แคนดิเดตสำรอง” ที่ไม่ใช่คนแปลกหน้าในพรรคและในเกมการเมือง แม้อายุอานามจะเลยวัยเกษียณ แต่ด้วยบุคลิกสุขุม ภาพลักษณ์ข้าราชการสายกลาง และไม่เคยสร้างศัตรูรุนแรงกับฝ่ายใด จึงทำให้หลายฝ่ายมองว่า อาจเป็นตัวเลือกที่ “นิ่มนวลแต่แน่น”
ทว่า...ในโลกของการเมืองไทย การจะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ตัดสินกันแค่ที่ “เสียงในสภา” หรือ “ความเหมาะสมทางบุคลิก” หากแต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยเชิงโครงสร้างและข้อกฎหมายที่พร้อมเล่นงานได้ทุกเมื่อ
⚖️ บาดแผล “112” ที่ย้อนทิ่มแทง
ย้อนกลับไปปี 2564 นายชัยเกษม ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงการณ์ที่ถือว่า "แรงที่สุดในประวัติศาสตร์พรรค" นั่นคือ การเรียกร้องให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ 116
โดยมีใจความชัดเจนว่า กฎหมายเหล่านี้ถูกใช้อย่าง “ล้นเกิน” เพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพ และควรได้รับการปฏิรูป
ในช่วงเวลานั้น แถลงการณ์นี้ถูกฝ่ายอนุรักษ์นิยมมองว่า “ไปไกลเกินเส้น” แม้ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่า ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง เพราะนายชัยเกษมไม่ใช่หัวหน้าพรรค และไม่ได้มีบทบาททางนิตินัยมากพอ
แต่คำถามคือ...ถ้าเขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีล่ะ?
สถานะของคำพูด และอดีตแถลงการณ์ที่ยังอยู่ในแฟ้มประวัติ จะถูก “ตีความใหม่” หรือไม่?
🔥 “พิธาโมเดล” = ระเบิดเวลาที่ปลายเท้า
กรณีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล คือแบบอย่างสด ๆ ร้อน ๆ ที่สะท้อนว่า “แนวคิดเรื่องการแก้ ม.112” ไม่ใช่เรื่องที่จะเดินข้ามได้ง่าย ๆๆ
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นโยบายหาเสียงของพรรคก้าวไกลเข้าข่าย “ล้มล้างการปกครอง”
พรรคถูกยุบ กรรมการบริหารถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี
และคดี 44 ส.ส. ยังคงอยู่ในมือของ ป.ป.ช. ซึ่งใกล้ชี้มูลแล้ว
สิ่งนี้ทำให้ “ใครก็ตาม” ที่มีร่องรอยหรือบทบาทเกี่ยวข้องกับ ม.112 กลายเป็น “กลุ่มเสี่ยงทันที”
แม้พรรคเพื่อไทยจะย้ำเสมอว่า “ไม่มีนโยบายแตะ ม.112” แต่แถลงการณ์ของชัยเกษมก็เป็นสิ่งที่ “เคยเกิดขึ้น”
และในโลกการเมืองไทย สิ่งที่เคยพูดไว้แม้จะล่วงเลยมาเป็นปี ก็สามารถถูกย้อนกลับมาเล่นงานได้อย่างเฉียบขาด
🧠 ทักษิณเดินหมาก หรือทิ้งหมาก?
หลายฝ่ายมองว่า การที่นายทักษิณเคยพูดไว้ว่า “หากแพทองธารมีปัญหา ก็อาจเป็นชัยเกษมที่ขึ้นมาแทน” สะท้อนว่าฝ่ายเพื่อไทยมีแผนสำรองที่รัดกุมและเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว
แต่คำถามที่เริ่มดังขึ้นในเวลานี้คือ...
“ทักษิณประเมินผิดหรือไม่?”
เพราะหมากสำรองที่เลือกไว้ก็มีบาดแผลจาก ม.112
และอาจถูกฝ่ายตรงข้ามนำมาโจมตีซ้ำในแบบเดียวกับายพิธา
แถมในสถานการณ์ที่พรรคเพื่อไทยเองก็กำลังถูกตั้งข้อสงสัยเรื่อง “การครอบงำโดยคนนอก”
นายชัยเกษมอาจกลายเป็นหมากที่พร้อมจะกลายเป็นชนวนใหม่
🕯️ การเมืองไทยไม่มีที่ว่างให้กลางแท้จริง?
แม้นายชัยเกษมเป็นภาพแทนของข้าราชการสายกลาง ผู้ไม่เคยทะเลาะกับใคร ไม่ปรากฏบทบาทเป็นนักปลุกระดมหรือหัวขบวนใด ๆ
แต่ในระบบการเมืองไทยปัจจุบัน ความ “กลาง” ไม่ได้เป็นเกราะคุ้มกัน
หากใครเคย “พูด” หรือ “หนุน” อะไรที่ไปแตะเส้นแดง ระบบจะไม่ปล่อยให้ผ่านได้ง่าย ๆ
บทเรียนจากกรณีนายพิธา คือเครื่องยืนยัน
📌 ชัยเกษม = ทางออก? หรือ ทางตัน?
ท่ามกลางความสั่นคลอนของรัฐบาลแพทองธาร พรรคเพื่อไทยต้องการผู้ที่สามารถประคองภาพลักษณ์และรักษาความเชื่อมั่นได้ในระยะสั้น
นายชัยเกษมดูจะเป็นตัวเลือกที่ตรงโจทย์ทุกข้อ ยกเว้นเพียงข้อเดียวคือประวัติเรื่อง ม.112
และหาก ป.ป.ช. หรือศาลรัฐธรรมนูญ หรือแม้แต่ฝ่ายตรงข้าม หยิบแถลงการณ์ปี 2564 ขึ้นมาขยายซ้ำ
บทเรียนของ “พิธา” จะกลับมาอีกครั้ง
แค่เปลี่ยนคน เปลี่ยนพรรค แต่จุดจบเหมือนเดิม
#ชัยเกษมขึ้นนายก #พิธาโมเดลย้อนซ้ำ #บทเรียน112 #ทักษิณเดินหมากพลาด #พรรคเพื่อไทยเสี่ยงซ้ำ #การเมืองไทย2568 #ยุบพรรค