มะเดี่ยว เผยหนังไทยปีนี้คึกคัก ไตรมาสสี่มาแน่ หนังผีไทยยังขายได้ทั่วโลก
GH News July 14, 2025 01:00 AM

มะเดี่ยว เผยหนังไทยปีนี้คึกคัก ไตรมาสสี่มาแน่ หนังผีไทยยังขายได้ทั่วโลก

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของวงการภาพยนตร์ไทย “มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” นายกสมาคมผู้กำกับ เปิดใจที่งาน THAI CONTENT EXPO 2025 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถึงทิศทาง-อุปสรรค และโอกาสใหม่ๆ ที่จะพาภาพยนตร์ไทยไปไกลกว่าที่เคย

ในฐานะผู้กำกับสมาคมภาพยนตร์ไทยมองภาพยนตร์ไทยปีนี้ไว้ยังไงบ้าง?
“ปีนี้ผลิตหนังเยอะ แต่ยังไม่ได้ฉายหนัง จะไปลงที่ประมาณไตรมาสสี่ เพราะเขาก็ต้องใช้เวลาดังนั้นเท่าที่ทราบมาก็คือว่าส่วนใหญ่จะเสร็จกันไตรมาสสี่แล้วก็น่าจะเข้า ก็น่าจะเห็นสีสันของหนังไทยในปีนี้เยอะๆ เลยในไตรมาสสี่ แล้วก็ตอนนี้น่าจะเริ่มตั้งตัวกันทันแล้ว ในปีหน้าอุตสาหกรรมเราก็พยายามจะทำให้มีหนังไทยเข้าทุกเดือนๆ“

ต้นปีจนถึงกลางปี หลายคนตั้งคำถามว่าทำไมหนังไทยดูเงียบๆไป?
”มันผลิตไม่ทันไง มันติดตรงนี้ จริงๆ แล้วเรายังได้รับการตอบรับดีอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเท่าที่สังเกตดูหนังที่เป็นเรือธง หนังที่ถูกคาดหวังไว้เยอะๆ เขายังไม่เข้าต้นปี ก็จะมีหนังที่มีคุณภาพเข้ากันเยอะอยู่แล้วก็อาจจะเป็นด้วยบรรยากาศของเศรษฐกิจที่คนไม่กล้าใช้เงินด้วย“

”ปีที่แล้วหนังผีมาใช่ไหม ในตลาดต่างประเทศหนังผีไทยก็ยังคงมาอยู่ ถ้าให้ตอบนะก็คือว่าภาพรวมเราจะเห็นการไปตั้งบูธทุกเทศกาลของหนังไทยแล้วก็ขายหนังผีกันอุตลุดเลย ดังนั้นตลาดโลกยังคงมั่นใจในหนังผีไทย แล้วก็คนไทยยังไงก็ยังชอบดูหนังผี“

แสดงว่าหนังผียังขายได้?
”มันสนุกมั้งมันเข้าใจง่ายไม่ต้องทำความเข้าใจอะไรเยอะ อย่างเราทำหนังมอนสเตอร์เราก็ต้องแบบว่าเอ๊ะสัตว์ประหลาดมันมาจากไหนใครเป็นคนประดิษฐ์ ทำหนังบู๊ก็ใช้เงินเยอะ ทำหนังไซไฟก็ยิ่งต้องเข้าใจอะไรเยอะ หนังผีไม่ต้องเข้าใจอะไรเลยเข้าไปถึงสนุกเลย“

การเซ็นเซอร์ล่ะ?
”ตอนนี้มันไม่มีเซ็นเซอร์แล้วมันมีคือการจัดเรท แต่ก็จะมีประเด็นเรื่องเรทที่ห้ามฉายอยู่ ซึ่งก็ยังมีการพูดคุยกันในส่วนนี้ แล้วก็รอพรบ.ภาพยนตร์ฉบับใหม่ที่กำลังใกล้ที่จะผ่านพ้นไปได้ ทีนี้ก็ต้องอยู่กับเสถียรภาพของรัฐบาล และทางการเมืองว่าจะเป็นยังไง แต่คิดว่าในทางตัวกฎหมายเนี่ยได้รับความเอื้อจากทุกภาคส่วนทั้งฝั่งของงานภาคอุตสาหกรรม ภาคการเมือง ภาคเอกชน เราช่วยกันปรับปรุงแก้กฎหมายตรงนี้ และอิสระในการทำหนังบ้านเราถือว่าเยอะขึ้นกว่าเดิม แต่เหลือแค่ว่าเราจะทำยังไงให้หนังมันตอบโจทย์ทางการตลาดมากขึ้น“

ก่อนหน้านี้กับการเซนเซอร์ คิดว่ามันปิดกั้นขีดจำกัดของการทำหนังไทยไหม?
”ก็มีนิดนึง แต่พี่ว่าถ้าเรามองในมุมของการตลาดไอ้เรื่องที่เซ็นเซอร์แล้วเพิ่งได้ฉายไป จริงๆ ก็เซ็นเซอร์กันมานานแล้ว อาจจะเป็นสิบปีแล้วเจ้าของหนังอาจจะอุทธรณ์หรือมันยืดเยื้อยาวนานแต่พี่เชื่อว่าในปี 2023 เป็นต้นมาเนี่ยไอ้การห้ามฉายหนังมันแทบจะไม่มีเลยนะ มันแทบจะไม่มีเลยหรือว่าคุณจะไปว่าทำหนังที่มันมีความสุ่มเสี่ยง แม้แต่จะเริ่มคิดก็หาเงินมาทำยากแล้ว ยังไม่ต้องไปถึงกฎหมายเซ็นเซอร์หรอก เรียกว่าตลาดมันก็จะทำการคัดกรองตัวงานที่ออกมาสู่ตลาดมากขึ้น ถ้าเกิดว่าคุณไปทำหนังที่มันมีความสุ่มเสี่ยง ก็อาจจะต้องรับผลที่ตามมา“

ภาพยนตร์ไทยเป็นซอฟพาวเวอร์ให้กับประเทศไทย รู้สึกยังไงบ้าง?
”รู้สึกว่าต้องพัฒนาไปอีก ภาพยนตร์เป็นซอฟพาวเวอร์ในตัวของมันเองอยู่แล้ว อย่างเกาหลีเองเงี้ยเรานึกถึงเพลงเกาหลี ละครเกาหลี หนังเกาหลี เราก็จะนึกถึงแบบที่เราดูแล้วโรแมนติกสบายใจ ดูแล้วมีคุณภาพมั่นใจได้ว่าไม่เสียเวลาในการดู หนังไทยเรากำลังก้าวเข้าไปสู่จุดนั้น จริงๆ เราแหย่ๆ ไปอย่างงี้นานแล้ว รอบนี้จัดเต็มกันทุกภาคส่วน แล้วก็เรากำลังทยานสู่ตรงนั้น เราได้รับความเชื่อมั่นจากนานาชาตินะในการซื้อหนังเรา แต่ว่าถ้าเทียบขนาดในเซาท์อีสต์เอง อย่างอินโดเขาทยานมาก แต่ประชากรบ้านเขาร้อยกว่าล้าน แล้วเขาก็มีวัฒนธรรมที่ค่อนข้างแข็งแรง หนังบางประเภทก็เข้าไปฉายในบ้านเขาไม่ได้ตามกฎหมาย แต่บ้านเราก็ถือว่าตัวขนาดของเศรษฐกิจถ้าเทียบเป็นสเกลก็ไม่ได้แพ้อินโดเท่าไหร่ เราก็โอเคพยายามสู้แล้วก็มีการจับมือกัน ทั้งอินโดทั้งเวียดนามด้วยเพื่อที่จะมองว่ามันคงไม่ใช่แค่ซอฟพาวเวอร์ในไทยแลนด์อย่างเดียว มันจะต้องเป็นในอาเซียนแล้วก็ในเอเชีย เรากำลังร่วมกันตรงนี้อยู่แล้ว“

ทางรัฐบาลสามารถช่วยอะไรได้บ้างไหม?
”ที่เรายืนกันอยู่ตรงเนี้ย ก็เป็นการสนับสนุนจากทางภาครัฐ นี่คือเขาก็ช่วยเราเต็มที่เหมือนกัน เพราะคุณนึกดูว่าประเทศเรามันมีอุตสาหกรรมอะไรที่มันเป็นของเราเองบ้าง ผลิตรถยนต์และเทคโนโลยีไม่มีอะไรของเราเลย ผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าชิปต่างๆ ไม่มีอะไรที่เป็นไอทีของเราเลย ท่องเที่ยวก็ขึ้นๆ ลงๆ สิ่งที่เรามีและแข็งแรงที่สุดคือความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย คนไทยเป็นคนตลก คนไทยเป็นคนครีเอทีฟ สิ่งเหล่าเนี้ยรวมทุกๆ สาขาเลย การเป็นคอนเทนต์นี่คือยังเป็นความหวังสุดท้ายที่เราจะเอาสิ่งเหล่าเนี้ยมาสร้างให้เกิดเศรษฐกิจ แล้วถามว่ามันเกิดขึ้นจากความแบบเลื่อนลอยไหม ก็ไม่ใช่ไง ญี่ปุ่นทำสำเร็จมาแล้ว เกาหลีทำสำเร็จมาแล้ว จีนเขาก็ทำสำเร็จมาแล้ว ทำไมเราจะทำไม่ได้ คือถ้าเกิดเราลงตรงนี้แล้วสำเร็จเนี่ย มันก็เป็นอีกหนึ่งเขาเรียกเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจเหมือนกันที่จะผลักดันไหนจะต่างชาติใช้โลเกชั่นเรามาถ่ายหนังอีก ลงทุนเรื่องนึงก็เป็นพันล้าน ก็ได้รับการสนับสนุนมากที่สุดเท่าที่เคยมีรัฐบาลไทยเกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองนะ“

จากภาพยนตร์จอใหญ่มาก จนตอนนี้ปัจจุบันคนมาดูเป็นจอเล็กหมดแล้ว ในมุมมองผู้กำกับมองยังไง?
”ในมุมมองของผม เราก็คิดอ่านตรึกตรองอยู่สารพัดที่มันมีความแตกต่างกัน เอาจริงถ้าทุกคนแห่กันมาดูละครเล็กกันหมด โรงหนังจะอยู่ได้ยังไง ทุกวันนี้ก็ยังไปดูหนังกันอยู่ หนังคือกิจกรรมครอบครัว อย่างคนมียูทูบดูแล้ว แต่ทำไมยังไปคอนเสิร์ต ตอนแรกมันมีคำถามเกิดขึ้นเต็มไปหมดในช่วงโควิดที่ทุกอย่างมันดูเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่พอมันผ่านมาสักสองสามปีแล้ว เราเห็นภาพที่มันชัดเจนขึ้นแล้วว่าละครเล็กก็ส่วนละครเล็ก ความเสถียรมั่นคงน้อยกว่า เพราะว่าบางทีใครๆ ก็ทำได้ ไม่มีการคัดกรองไม่มีการฟิลเตอร์ เราก็คิดว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ละครซีรีส์แอนิเมชั่นเป็นอุตสาหกรรมที่มันยังมีการลงทุนอยู่ ถ้าเราไปชวนน้องมาทำ ไปชวนคนที่เข้ามาในอุตสาหกรรมทำ เราก็อยากจะชวนเข้ามาทำตรงนี้เพื่อให้อุตสาหกรรมมันโต“

แสดงว่าผู้จัดตัวใหญ่ๆ ก็ไม่ได้กลัวการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้?
”ใช่ ยังไม่กลัว อย่างละครเราเห็นความเปลี่ยนแปลงที่โคตรน่ากลัวเลย แต่พี่ว่ามันจะเป็นชั่วครั้งชั่วคราว มันเป็นช่วงเวลาของการปรับตัวแค่นั้นเอง“

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.