เตือน“รัฐบาล”ระวัง“พัง”ยอมสหรัฐฯ
GH News July 18, 2025 08:06 AM

“รมว.พาณิชย์”เผยทีมไทยแลนด์ยื่นข้อเสนอ 0% ภาษีทรัมป์รอบใหม่ พร้อมแผนเยียวยาผลกระทบ “กมธ.พาณิชย์ฯ วุฒิสภา”เตือนรัฐบาล ยอม “สหรัฐฯ”ทุกอย่าง หวังแลกประโยชน์ ระวังพังซ้ำรอย “อินโดฯ-เวียดนาม”

เมื่อวันที่ 17 ก.ค.68 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าในคืนวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าทีมไทยแลนด์ ได้เจรจาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) โดยในที่ประชุมได้มีการนำข้อเสนอจากไทยไปพูดคุยเพิ่มเติม ซึ่งไทยได้เสนอการลดภาษีนำเข้าสินค้าสำหรับสหรัฐฯ เป็น 0% ในสินค้าหลายหมื่นรายการ พร้อมทั้งมีข้อเสนออื่นๆที่ยื่นให้สหรัฐฯ พิจารณาเพิ่มเติม

ส่วนแผนเยียวยาผลกระทบจากภาษีที่สหรัฐฯ อาจกำหนดกระทรวงพาณิชย์ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนเยียวยาผลกระทบจากการขึ้นภาษี โดยได้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจาก 2 สมมติฐาน ได้แก่ 1.สมมติฐานที่ภาษีถูกเก็บในอัตรา 36% 2.สมมติฐานที่ภาษีถูกเก็บในอัตรา 20% ซึ่งเทียบเท่ากับเวียดนามที่เป็นคู่แข่ง

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาว่าสินค้าใดจะได้รับผลกระทบบ้าง โดยจะต้องมีมาตรการเยียวยาช่วยเหลือที่เหมาะสม และกำลังรอผลจากการเจรจาภาษี ซึ่งจะมีผลกระทบทั้งในแง่ของสินค้าและแรงงานในอุตสาหกรรมต่างๆ

ด้าน นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล สมาชิกวุฒิสภา(สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่อินโดนีเซียยอมหั่นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เหลือ 0% ซึ่งส่งผลให้สหรัฐฯ ลดภาษีให้เหลือ 19% จาก 32% ว่า ตนมีความเห็นว่าการเลียนแบบกลยุทธ์ของอินโดนีเซียและเวียดนามที่ "ยอมทุกอย่าง" นั้น จะส่งผลกระทบต่อ SME ของไทยอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในภาคเกษตรและปศุสัตว์ ซึ่งเป็นห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญของประเทศ หากเปิดเสรีมากเกินไป จะทำให้ SME ไทยที่อยู่ในภาวะลำบากอยู่แล้วจากการที่เศรษฐกิจตกต่ำมาหลายปี ยิ่งประสบปัญหาหนักขึ้นไปอีก จนอาจถึงขั้นล้มหายตายจาก และกระทบถึงความมั่นคงทางทหารของประเทศได้

“ผมคิดว่าการเจรจาที่เปิดให้ซะหมดเลย แล้วไม่ได้มองถึง SME ของชาติ ของประชาชนที่กำลังลำบาก เพราะเศรษฐกิจของเราตกต่ำมาหลายปี เราต้องแก้ไขเรื่อง SME ให้สามารถอยู่รอดได้ เพราะหนี้สาธารณะเราเยอะ แม้มูลค่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 1.9 ล้านล้านบาท คิดเป็น 18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด แต่เมื่อเทียบกับเวียดนามที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ถึง 30% ผมคิดว่าไทยไม่ควรเลียนแบบเวียดนาม เนื่องจากต้องต่อรองในหลายสิ่งที่ไทยเสียเปรียบ ซึ่งจะกระทบกลุ่ม SME หรือความมั่นคงของภูมิภาค” นายวิวรรธน์ กล่าว

ประธานคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ฯ กล่าวอีกว่า ตนขอเสนอว่า ไทยควรยอมรับการถูกเก็บภาษีที่ 36% ซึ่งไทยสามารถชดเชยให้ผู้ส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ ด้วยการลดภาษีช่วยเหลือ 10% และหาแหล่งเงินกู้ราคาถูกมาชดเชย โดยรัฐบาลต้องแบกรับภาระส่วนหนึ่ง เอกชนผู้ส่งออกต้องบูรณาการส่วนหนึ่ง และธนาคารต้องให้ความช่วยเหลืออีกส่วนหนึ่ง ซึ่งจะดีกว่าการยอมทุกอย่างแล้วมากระทบวงกว้าง โดยเฉพาะกับ SME ของไทย

นายวิวรรธน์ กล่าวต่อว่า มีสินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯ ที่ไทยสามารถให้ภาษี 0% ได้อย่างไม่มีปัญหา คือ ปุ๋ยเคมี ซึ่งจะส่งผลดีต่อเกษตรกรไทย ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง และช่วยแก้ปัญหา PM 2.5 ที่เกิดจากการขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดตามตะเข็บชายแดน เพื่อชดเชยการขาดแคลนในประเทศได้ เนื่องจากไทยมีความต้องการปุ๋ยเคมีประมาณ 7 ล้านตันต่อปี แต่ผลิตได้เพียง 4 ล้านล้านตันต่อปี การนำเข้า 3 ล้านล้านตันต่อปี จะช่วยลดการบุกรุกพื้นที่ป่า และลดฝุ่น PM 2.5 ได้ นอกจากนี้ การเปิดเสรีในส่วนของ พลังงาน และ เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เครื่องยนต์หรือเครื่องบิน ก็เป็นสิ่งที่ไทยขาดแคลนและจำเป็นต้องนำเข้าอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยลดการเกินดุลการค้าได้

“ผมอยากให้ทีมประเทศไทยทำอะไรด้วยความรอบคอบ อย่าเร่งรีบ ผมว่าทั้งอินโดฯ หรือเวียดนาม มีส่วนเร่งรีบ และเลยกลายเป็นว่าสิ่งที่อยากจะได้ อย่างที่ทราบข่าวมาว่าเวียดนามต่อรองขอให้เหลือ 11% เท่านั้น แต่ได้มา 20% ตัวเองเสนอทุกอย่างเลย” นายวิวรรธน์ กล่าว

นายวิวรรธน์ กล่าวด้วยว่า ในระยะยาว ไทยสามารถหาตลาดใหม่ๆ ได้ เช่น ตลาด EU หรือตลาดแอฟริกา ซึ่งอาจทดแทนตลาดสหรัฐฯ ได้บางส่วน แต่หากรัฐบาลสามารถชดเชยเรื่องภาษีหรือเรื่องดอกเบี้ย ทำให้ต้นทุนถูกลง 16% แต่ยังสามารถขายสินค้าได้ในราคาเดิม ก็ไม่จำเป็นต้องยอมทุกอย่าง เพราะจะกระทบ SME ไทยในที่สุด
 

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.