“นายกฯอิ๊งค์”เข้าสภาฯ พบ สส.เพื่อไทย รับฟังปัญหา ด้าน “ภูมิธรรม”ลั่น “นายกฯ” มั่นใจได้กลับมา เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่หวั่นไหว “ภูมิใจไทย” เดินสายดูด สส.รัฐบาลภาคใต้ ส่วน “สุริยะ” กั๊ก “เพื่อไทย” จับมือ “ภูมิใจไทย” หลังเลือกตั้งครั้งหน้า ปัด "ทักษิณ" พูดครอบงำบนเวทีดินเนอร์พรรคร่วมฯ ชี้แค่แชร์ประสบการณ์
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.วัฒนธรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) เดินทางเข้าสภาเพื่อพบปะและรับฟังปัญหาจาก สส.ของพรรคที่ได้รับการสะท้อนจากประชาชน โดยนายกฯ มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า เดินทางเข้าสภาวันนี้เพื่อมาคุม สส.เพราะกลัวว่าจะถูกตีท้ายครัว เหมือนที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พูดบนเวทีงานดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาล หรือไม่ โดย น.ส.แพทองธาร ไม่ตอบคำถามดังกล่าว และเดินเลี่ยงไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแต่อย่างใด
ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงงานเลี้ยงดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้พูดคุยหารืออะไรบนโต๊ะอาหารหรือไม่ ว่า เป็นการเล่าเรื่องธรรมดาบนโต๊ะอาหาร ตามที่ใครคิดอะไรออกก็ชวนกันคุย
เมื่อถามว่า การบรรยายของทักษิณเพิ่มความมั่นใจกับพรรคร่วมรัฐบาลว่าจะได้ไปต่อกันยาวๆ รวมถึงในอนาคตก็จะเป็นพรรคร่วมกันอีก นายภูมิธรรม หัวเราะ ก่อนกล่าวว่า ต้องไปถามพรรคร่วมรัฐบาลว่ารู้สึกอย่างไร
เมื่อถามว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.วัฒนธรรม ว่ามีความมั่นใจจะได้กลับมาทำงานต่อมีสัญญาณอะไรหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า นายกฯ ไม่ได้คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด และมีการชี้แจงให้สังคมรับทราบชัดเจน ซึ่งเคยพูดซ้ำไปแล้วว่าจะหากลวิธีโดยการพูดคุยเพื่อชักชวนให้เขา (สมเด็จฮุน เซน) เข้ามาแก้ปัญหาแก้ร่วมกันกับเรา แม้เขาจะไม่ได้เป็นผู้นำประเทศโดยทางตรง แต่เป็นผู้นำทางความคิดให้กัมพูชา และจริงๆไม่ใช่การคุยทางการ แต่ที่ค่อนข้างจะเป็นทางการเรานั่งรอร่วมกัน มีตนซึ่งเป็นรมว.กลาโหม รมว.การต่างประเทศ และเลขาธิการนายกฯ จนรู้สึกว่าใช้เวลานาน ถึงได้บอกนายกฯว่าไม่ต้องนั่งรอ และตนได้บอก นายเคลียง ฮวด ว่า “เฮ้ย นี่เป็นนายกฯของไทย ต้องการคุยกับผู้นำของคุณ ซึ่งคุณเป็นคนประสานเองด้วยนะ”
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า โดยนายฮวด บอกว่าสถานการณ์ในกัมพูชาดีขึ้นแล้ว มีความเข้าใจมากขึ้น น่าจะแก้ปัญหาได้ในฐานะลุงหลาน ซึ่งนายกฯ ก็ใช้ความเป็นส่วนตัวคุย ซึ่งไม่ใช่การคุยอย่างเป็นทางการ แต่เป็นการคุยส่วนตัว และจริงๆกัมพูชาเป็นคนโทรเข้ามา โดยเรานั่งคุยพร้อมกัน 3-4 คน ซึ่งไม่มีเนื้อหาใดเกี่ยวข้องกับเรื่องผลประโยชน์แห่งชาติ ดังนั้นนายกฯ มั่นใจอยู่แล้วว่าชี้แจงได้ และได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว ถ้าดูจากเจตนา และเรื่องราวที่ได้คุยกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา มาก่อน ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่นำมาเล่าให้สังคมรับทราบ ซึ่งชัดเจนว่ามีการบิดเบือนไปหลายอย่าง สื่อคงเข้าใจดี
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่กับสถานการณ์การเมือง เพราะตัวนายภูมิธรรมเองก็มีคดี ซึ่งจะมีการพิจารณาไล่เลี่ยกับนายกฯ มีการวางแผนหนึ่งแผนสองหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราอยู่กับความเป็นจริง กระบวนการฟ้องอะไรต่างๆ มองว่าสาธารณชนรับรู้ ซึ่งกรณีของตนเรื่องฮั้ว สว. ข้อเท็จจริงนี้ไม่ใช่ตนพูด ถามคนในสังคมทั้งหมดเขารับรู้ ถามสื่อเองก็เชื่อว่ารับรู้ ดังนั้นสิ่งที่เราทำ คือทำเรื่องที่ผิดให้ถูกขึ้น
”ผมเองที่โดนข้อกล่าวหา ก็ไม่ทราบว่าทาง สว. ฟ้องผมเรื่องอะไร เพราะผมไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรเลย ผมเป็นประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กพค.) ซึ่งวันนั้นมีการประชุม กคพ. และตนเป็นประธานเพื่อเข้าไปรับฟัง และร่วมรับฟังว่าจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกามีการชี้ว่ามีการตีความกฎหมายซึ่งเป็นปัญหา ผมก็เปิดให้มีการอภิปรายถกเถียง ให้ไปย้อนดูเทปการประชุมได้“ นายภูมิธรรม กล่าว
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า การพูดคุยวันนั้นมีความเห็นแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด ถ้าจะโหวตก็มีกรรมการหลายคนที่ขาดประชุม และมีข้อท้วงติงจากกฤษฎีกาจึงขอให้กลับไปพิจารณาใหม่ และนำประเด็นที่ถกเถียงไปช่วยกันคิด ไม่อยากให้สังคมมองว่าดึงเรื่องยืดเยื้อ จึงขอเวลา 7 วันเพื่อกลับมาประชุม ตนก็ทำหน้าที่ในฐานะประธาน ถ้าตนไม่เข้าประชุมก็ถือว่าละเลยการปฎิบัติหน้าที่ และทั้งหมดนี้ตนดูว่าเป็นอำนาจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตอนเข้ามาในฐานะที่จะรับเป็นคดีพิเศษเท่านั้น
”มาฟ้องผม ผมไม่เข้าใจว่าต้องการเบี่ยงประเด็นหรืออย่างไร ผมไม่ทราบ ไม่ห่วงว่าจะมีข้อกังวลอะไร ผมยื่นคำชี้แจงไปแล้ว จะให้เพิ่มพยานหลักฐาน ผมไม่เพิ่ม เพราะสิ่งที่ผมยื่นไปแล้วชัดเจนทุกอย่าง พร้อมย้ำไม่ได้ให้ฝ่ายกฎหมายยื่นพยานเอกสารเพิ่มเติมอีก เพราะมันเป็นข้อเท็จจริงที่ผมพูด จะพิจารณาอย่างไรก็เป็นดุลพินิจของศาล” นายภูมิธรรม กล่าว
เมื่อถามถึง สถานการณ์การเมืองว่าขณะนี้พรรคภูมิใจไทยมีการเดินสาย อย่างล่าสุดไปภาคใต้จะไปดูดหรือทาบทาม สส. พรรคประชาธิปัตย์ มีสัญญาณว่าจะมีการเลือกตั้งใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ต้องถามประชาชนว่าสิ่งที่พูดมันน่าฟังหรือไม่
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยหวั่นไหวหรือไม่ที่เขาจะไปดูด สส.ซีกรัฐบาล นายภูมิธรรม กล่าว พร้อมหัวเราะว่า มันน่าดูดหรือไม่
ส่วน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีงานดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลเมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศว่าจะจับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันไปจนถึงหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า สิ่งที่นายทักษิณพูด ก็เป็นเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคอยากจะจับมือกันอยู่แล้ว ซึ่งปกติหลังการเลือกตั้งพรรคร่วมรัฐบาลเดิมก็คิดที่จะจับมือกันกับรัฐบาลเดิมเป็นอันดับแรก หัวหน้าพรรคทุกพรรคก็คิดเช่นนั้น ดังนั้น สิ่งที่นายทักษิณ พูดไม่ใช่เรื่องแปลก
เมื่อถามว่า การพูดเช่นนี้เหมือน เป็นการตัดพรรคภูมิใจไทยออกจากสมการ ไม่สามารถจับมือกันได้ในอนาคตแล้วใช่หรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า ปกติภายหลังการเลือกตั้ง เราก็จะมาดูผลแพ้ชนะว่าเป็นอย่างไร หากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมจับมือกันแล้วได้เสียงเกินไปเยอะ ก็ไม่จำเป็นต้องหาเสียงจากพรรคฝ่ายค้านเดิมมาร่วม แต่หากไม่เพียงพอ ก็ต้องไปพูดจากัน
เมื่อถามว่า ครั้งนี้จำนวนเสียงปริ่มนํ้า นายทักษิณ ขอให้ทุกพรรคสามัคคีและจับมือกัน โดยเฉพาะการดูแลเสียงในสภา ที่เคยทำหน้าที่ ที่ผ่านมา ทำบัญชีเพื่อประสานกับ ส.ส.ซึ่งคนอาจจะมองว่าเป็นการจ่ายเงินจ่ายทองหรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า คงไม่ใช่ การที่มีเสียงปริ่มนํ้า จะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรครู้ดีว่าจะต้องมีความสามัคคีกันให้มากขึ้น ขณะเดียวกันถ้าเสียงเกินไปพอประมาณ ก็อาจทำให้มีการประมาท และอาจทำให้เป็นปัญหามากกว่าเสียงปริ่มนํ้าก็ได้
เมื่อถามว่า การที่นายทักษิณมาพูดในงานของพรรคร่วมรัฐบาล อาจทำให้มีผู้ไปร้องว่าเป็นการครอบงำรัฐบาล นายสุริยะ กล่าวว่า เท่าที่ตนฟังดู ก็ไม่เห็นมีตรงไหนที่เป็นการครอบงำรัฐบาล เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องพรรคร่วมรัฐบาลที่จะตัดสินใจ นายทักษิณ คงไม่สามารถบังคับพรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้แต่พรรคเพื่อไทยได้ เพราะทุกพรรคก็มีกรรมการบริหารพรรคดำเนินการอยู่ แต่การที่ท่านมาพูด เพราะเป็นคนที่เคยมีประสบการณ์ จึงมาแชร์ให้พรรคร่วมรัฐบาลทราบ
เมื่อถามว่า นายทักษิณประกาศว่าได้ลูกมาเป็นนายกรัฐมนตรี และได้พ่อมาช่วยงานด้วย ทำให้แยกเรื่องการครอบงำไม่ได้ นายสุริยะ กล่าวว่า ความเป็นพ่อลูก การมาพูดคุยกัน มาแชร์ประสบการณ์กัน เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ไม่ได้มีเรื่องการครอบงำแต่อย่างใด