โรคไข้ดินคืออะไร ใครเสี่ยงป่วยหนัก แนวทางรักษา วิธีป้องกัน
GH News August 05, 2025 10:20 AM

โรคไข้ดิน คืออะไร เช็กอาการ สาเหตุติดเชื้อมาจากไหน ใครเสี่ยงป่วยหนัก แนะวิธีป้องกัน แนวทางรักษา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง กรมควบคุมโรค รายงานว่า ประชาชนป่วยเป็นโรคเมลิออยโดสิส หรือโรคไข้ดิน จำนวน 2,036 ราย เสียชีวิต 92 ราย อัตราป่วยตายอยู่ที่ 4.52% โดยผู้ป่วยพบมากในอาชีพเกษตรกร และรับจ้างทั่วไป แต่จะสูงสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 58 ปี ผู้เสียชีวิตจะมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ไตวาย และพิษสุราเรื้อรัง

โรคเมลิออยโดสิส หรือโรคไข้ดิน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei ที่พบได้ทั่วไปในดิน น้ำ นาข้าว ท้องไร่ ก่อให้เกิดอาการหลายลักษณะ ได้แก่ ติดเชื้อที่ผิวหนัง ติดเชื้อในปอด ติดเชื้อในกระแสเลือด และติดเชื้อในอวัยวะภายใน (ตับ ไต สมอง กระดูก)

เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง

1.การสัมผัสน้ำหรือดินที่มีเชื้อปนเปื้อน

2.ดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเข้าไป

3.สูดหายใจเอาฝุ่นจากดินที่มีเชื้อเจือปนอยู่เข้าไป

4.อาการหรือสัญญาณของโรคเมลิออยโดสิส

หลังติดเชื้อ 1-21 วัน จะมีอาการป่วย แต่บางรายอาจนานเป็นปี ขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อที่ได้รับและภูมิต้านทานของแต่ละคน ทั้งนี้ อาการไม่มีลักษณะเฉพาะ จะมีความคล้ายโรคติดเชื้ออื่น ๆ เช่น

  • มีไข้สูงเฉียบพลัน
  • ปวดศีรษะ
  • อาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อปวดกระดูก
  • อาการที่ปอด เช่น ไอ มีเสมหะ และหายใจลำบาก
  • เกิดฝีหนองตามผิวหนัง หรือเป็นแผลเรื้อรัง

หลังลุยน้ำย่ำโคลน หากมีอาการไข้สูง ติดต่อกันเกิน 5 วัน ไอ หรือเกิดแผลฝีหนองตามร่างกาย “อย่าซื้อยากินเอง ควรรีบพบแพทย์และแจ้งประวัติเสี่ยงให้แพทย์ทราบ”

ทั้งนี้ ยังมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ บางรายพบอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย ส่วนใหญ่มักจะเริ่มจากอาการไข้ทำให้วินิจฉัยโรคได้ยาก ต้องตรวจเพาะเชื้อทางห้องปฏิบัติการ เพื่อใช้ตรวจวินิจฉัยและรักษา

อย่างไรก็ตาม หากเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด อาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือด (ภาวะโลหิตเป็นพิษ) ความดันโลหิตต่ำ ช็อก และเสียชีวิตได้ โดยผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน, โรคไตเรื้อรัง, โรคตับ, โรคปอดเรื้อรัง, ธาลัสซีเมีย หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง จะมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อและมีอาการรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป

การติดเชื้อผ่านทางผิวหนัง

อาจทำให้เกิดอาการแผลเรื้อรัง เกิดฝีหรือหนองตามผิวหนัง และอาจมีตุ่มขึ้น เป็นที่อยู่ของเชื้อแบคทีเรีย หากรับเชื้อผ่านทางน้ำลาย เช่น การรับประทาน จะทำให้ติดเชื้อที่ต่อมน้ำลาย มีลักษณะบวมขึ้นมาเป็นฝีหรือหนอง หรืออาจบวมบริเวณต่อมน้ำเหลืองที่คอ มีอาการกดเจ็บได้

การติดเชื้อในปอด

จะทำให้มีอาการไข้ขึ้น และอาการทางเดินหายใจ ไอ มีเสมหะ หากนำเสมหะมาตรวจดูอาจพบเชื้อได้ และหากเอกซเรย์ที่ปอดอาจพบก้อนหนอง บางครั้งแพทย์สับสนระหว่างวัณโรค

การติดเชื้อในกระแสเลือด

เชื้อสามารถเข้าทางผิวหนังหรือปอด เช่น กรณีที่มีบาดแผล เชื้ออาจเข้าทางบาดแผลและติดเชื้อในกระแสเลือดได้ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ความดันโลหิตต่ำ ช็อก เป็นฝีในตับหรือในม้าม สามารถเสียชีวิตได้ภายใน 2-3 วัน หากได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง นอกจากการติดเชื้อตามที่กล่าวมา ยังมีการติดเชื้อชนิดเรื้อรังอีกหนึ่งประเภทในโรคเมลิออยโดสิส

การป้องกันโรค

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคเมลิออยโดสิส การควบคุมป้องกันโรคทำได้ยาก เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นชาวนาที่ต้องสัมผัสดิน แนะนำให้หลีกเลี่ยงดังนี้

หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลน หรือแช่น้ำเป็นเวลานาน หากจำเป็นควรสวมรองเท้าบูต หรือถุงพลาสติกหุ้มรองเท้าไม่ให้เท้าสัมผัสน้ำโดยตรง

กรณีมีบาดแผลควรปิดด้วยปลาสเตอร์กันน้ำ หมั่นล้างมือ ล้างเท้าด้วยน้ำสบู่บ่อย ๆ และอาบน้ำทันทีหลังจากลุยน้ำ หากมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ให้รีบไปพบแพทย์ทันทีและแจ้งประวัติการเดินลุยน้ำให้แพทย์ทราบด้วย

บุคคลที่มีอาการของโรคเบาหวานและแผลบาดเจ็บรุนแรงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับดินและน้ำ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้อาจต้องสวมถุงมือรองเท้ายางเพื่อป้องกัน หากมีแผลถลอกหรือไหม้ซึ่งสัมผัสกับดินหรือน้ำในพื้นที่ที่เกิดโรคควรทำความสะอาดทันที

เมื่อมีบาดแผลและเกิดมีไข้หรือเกิดการอักเสบเรื้อรังควรรีบไปพบแพทย์ นอกจากนี้แล้วการมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคต่าง ๆ และการดูแลสุขภาพของร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้

กลุ่มเสี่ยงคือใคร

  • ผู้ที่ประกอบอาชีพ ที่สัมผัสกับดินและน้ำเป็นเวลานาน เช่น เกษตรกร
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวโรคเบาหวาน โลหิตจางหรือธาลัสซีเมีย
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยเอชไอวี รวมถึงคนไข้โรคมะเร็งบริเวณต่าง ๆ

แนวทางการรักษา

โรคไข้ดินสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ การรักษาจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะหลักโดยพิจารณาจากความรุนแรงของการติดเชื้อ :

ระยะแรก : แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำเป็นเวลาอย่างน้อย 2-8 สัปดาห์ เพื่อกำจัดเชื้อจำนวนมากในร่างกาย

ระยะต่อเนื่อง : หลังจากนั้น แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน (ยาเม็ด) ต่ออีกเป็นระยะเวลา 3-6 เดือน เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

ข้อมูล มติชนออนไลน์ กรมส่งเสริมการเกษตร, bangkokhealth, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.