‘สุริยะ’ เดินหน้าสร้างรถไฟทางคู่ เฟส 2 จำนวน 6 เส้นทาง ลุยเคลียร์ปม ‘คลัง-สภาพัฒน์-สำนักงบฯ’ เตรียมเสนอ ครม. ก.ย.นี้ดัน 3 เส้นทางสร้างก่อน หนุนขนส่งทางรางลดต้นทุนโลจิสติกส์หวังเป็นศูนย์กลางอาเซียน
7 ส.ค. 2568 – นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่2 จำนวน 6 เส้นทาง ระยะทางรวม 1,249 กิโลเมตร (กม.) มูลค่ารวมประมาณ 297,924 ล้านบาทว่า จากที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้นำเสนอโครงการฯ ต่อสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) หรือสภาพัฒน์ นั้น ได้ให้นโยบายกระทรวงคมนาคมเร่งประชุมเพื่อหารือร่วมกันกับสภาพัฒน์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อสรุปถึงปัญหาและแนวทางที่จะเดินหน้าต่อ
สำหรับโครงการรถไฟทางคู่ระยะ(เฟส)ที่ 2 ที่เหลืออีก 6 เส้นทาง ซึ่งล่าสุดได้ข้อสรุปแล้วว่าจะเสนอให้คณะกรรมการ(บอร์ด) สภาพัฒน์พิจารณา ประมาณต้นเดือน ก.ย.68 จากนั้นกระทรวงคมนาคมจะรวบรวมความคิดเห็นของทั้ง 3 หน่วยงาน ได้แก่ สภาพัฒน์, สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง เสนอขออนุมัติโครงการฯ ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ภายในเดือน ก.ย.นี้ ต่อไป
ทั้งนี้ในการโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 นั้น ทาง รฟท. ได้แบ่งความสำคัญของการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม 1 ความสำคัญอันดับต้น จำนวน 3 เส้นทาง ประกอบด้วย เส้นทางสุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 321 กม. วงเงิน 66,270 ล้านบาท, เส้นทางปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 218 กม. วงเงินประมาณ 81,143 ล้านบาท,
เส้นทางชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กม. วงเงินประมาณ 30,422 ล้านบาท , กลุ่มที่ 2 ความสำคัญอันดับกลาง จำนวน 2 เส้นทาง คือ เส้นทางชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 308 กม. วงเงินประมาณ 44,095 ล้านบาท, เส้นทางเด่นชัย-เชียงใหม่ ระยะทาง 189 กม. วงเงินประมาณ 68,222 ล้านบาท และ กลุ่มที่ 3 คือ เส้นทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กม. วงเงินประมาณ 7,772 ล้านบาท
นายสุริยะ กล่าวต่อว่า จากการหารือแนวทางในการเดินหน้าต่อโครงการต่อไป ทาง รฟท. ยังได้ทบทวนแผนการแก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟและถนนเสมอระดับของแต่ละโครงการให้เป็นปัจจุบัน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของ รฟท. ด้วย หากมีการดำเนินการโครงการ และ กรณีไม่ดำเนินโครงการ
อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่า โครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 ถือเป็นโครงการในการยกระดับการขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น และทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อระบบการขนส่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ได้อย่างแท้จริงโดยมีเป้าหมายหลัก ที่จะเปลี่ยนการขนส่งสินค้าจากทางถนนมาสู่ทางราง นอกจากนี้ ยังจะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางลงได้ถึง 30% เนื่องจากไม่ต้องรอหลีกขบวนรถ ทำให้ขบวนรถตรงต่อเวลามากขึ้น พร้อมทั้งยังช่วยลดอุบัติเหตุ ลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศ