ผศ.ดร.พงษ์ภิญโญ แม้นโกศล คณบดีวิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวถึง เหตุการณ์กรณีนักเรียนชายชั้น ม.5 ทำร้ายครู เพราะไม่พอใจที่ได้คะแนนกลางภาค 18 จาก 20 คะแนน ว่า กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สร้างความสะเทือนใจในสังคม เมื่อมองแต่เพียงผิวเผิน หลายคนอาจมองว่าเป็นปัญหาเฉพาะบุคคลของเด็กที่ “ขาดความเคารพครู” หรือ “โกรธง่าย” แต่ในมุมของการศึกษา นี่เป็นสัญญาณเตือนถึงรากปัญหาที่ซ่อนอยู่ ทั้งด้านค่านิยมการเรียนรู้ ความสัมพันธ์ครูกับนักเรียน และการปลูกฝังทักษะชีวิตของเยาวชน เหตุการณ์ลักษณะนี้ต้องได้รับการวิเคราะห์อย่างรอบด้านเพื่อทำความเข้าใจสาเหตุเชิงลึก และหาแนวทางแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำในอนาคต
จากข้อมูลข่าว ครูผู้สอนอธิบายว่าให้คะแนนไม่เต็มเพราะนักเรียนไม่ได้แสดงวิธีทำ แม้คำตอบจะถูกต้อง แต่นักเรียนไม่พอใจคำอธิบายนี้จึงลงมือทำร้ายครูในห้องเรียนทันที ประวัติพฤติกรรมยังชี้ว่าผู้ก่อเหตุเคยทำร้ายทั้งเพื่อนและพ่อมาก่อน แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ใช่เพียงเหตุการณ์เฉพาะหน้า แต่เกี่ยวพันกับรูปแบบการจัดการอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม สะท้อนให้เห็นว่าทักษะชีวิตที่สำคัญนี้ขาดหายไป การควบคุมอารมณ์และการยืดหยุ่นทางจิตใจ (Resilience) ไม่ได้ถูกฝึกอย่างเป็นระบบ
อีกประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาคือ ค่านิยมในระบบการศึกษาไทยที่มักวัดคุณค่าของผู้เรียนด้วย “คะแนน” คะแนนสอบจึงถูกมองเป็นตัวแทนทั้งความสามารถและคุณค่าของตัวตน ส่งผลให้ผู้เรียนตั้งเป้าหมายสูงสุดที่การได้คะแนนเต็ม แทนที่จะมุ่งเน้นการพัฒนาความรู้และทักษะอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ในบางกรณีพบว่ามีแรงกดดันจากครอบครัวที่มีความคาดหวังสูง อาจทำให้ผู้เรียนเชื่อมโยงผลคะแนนเข้ากับการได้รับการยอมรับหรือความรักจากพ่อแม่ เมื่อคะแนนที่ได้ต่ำกว่าที่คาดหวัง จึงถูกตีความว่าเป็น “ความล้มเหลว” ที่ยอมรับไม่ได้ และมองความผิดพลาดเล็กน้อยเป็นปัญหาใหญ่เกินจริง
อีกสาเหตุหนึ่งที่อาจจะทำให้เกิดความรุนแรงในห้องเรียนก็คือ ความสัมพันธ์ของครูกับนักเรียน ครูกับนักเรียนบางครั้งก็สื่อสารและสร้างความเข้าใจกันได้ไม่ดีพอ หากครูสื่อสารเรื่องเกณฑ์การให้คะแนนไม่ชัดเจน หรือขาดพื้นที่ให้ผู้เรียนแสดงความเห็นอย่างปลอดภัย นักเรียนก็จะรู้สึกว่าครูไม่ยุติธรรมหรือไม่รับฟัง ความไม่พอใจเล็กน้อยอาจลุกลามบานปลายเป็นความขัดแย้งรุนแรงดังที่เกิดขึ้นได้
เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนชัดว่า การศึกษาของไทยต้องสอนมากกว่าเนื้อหาวิชาเพียงอย่างเดียว และต้องให้ความสำคัญกับ "กระบวนการเรียนรู้" มากกว่าตัวเลขคะแนนสอบ เช่น ในการสอนคณิตศาสตร์ ครูควรประเมินทั้งความเข้าใจ และกระบวนการแก้ปัญหาของผู้เรียน ไม่ใช่เพียงคำตอบสุดท้าย พร้อมให้คุณค่ากับความหลากหลายของวิธีคิด เพื่อพัฒนา Mathematical Reasoning และ Problem Solving ซึ่งถือเป็นหัวใจของการเรียนการสอนคณิตศาสตร์อย่างแท้จริง แล้วพวกเราที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะแก้ปัญหาและป้องกันอย่างไรในแต่ละมิติ
มิตินักเรียน จำเป็นต้องได้รับการปลูกฝัง “ทักษะชีวิต” ที่ช่วยให้สามารถควบคุมอารมณ์และจัดการความผิดหวังได้อย่างสร้างสรรค์ การฝึกสติ และการฝึกยอมรับความล้มเหลวถือเป็นเครื่องมือสำคัญ เพราะมีงานวิจัยยืนยันว่าสามารถลดพฤติกรรมก้าวร้าวและช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
มิติครู นอกจากการสอนเนื้อหาแล้ว ครูต้องมีบทบาทในการสื่อสารเกณฑ์การประเมินอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ ใช้การสื่อสารเชิงบวก (Positive Communication) และการฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) เพื่อสร้างความไว้วางใจในห้องเรียน พร้อมส่งเสริม Growth Mindset ให้ผู้เรียนเห็นว่าการพัฒนาตนเองและความพยายามสำคัญกว่าคะแนนที่ได้รับ
มิติโรงเรียน ควรจัดให้มีระบบให้คำปรึกษาเชิงจิตวิทยาที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับทั้งครูและนักเรียน รวมถึงพัฒนาระบบการประเมินที่หลากหลายเพื่อลดแรงกดดันจากการสอบเพียงอย่างเดียว และจัดนโยบายความปลอดภัยในสถานศึกษาให้เป็นรูปธรรม พร้อมระบบรายงานเหตุรุนแรงที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
มิติระบบการศึกษา ภาครัฐและหน่วยงานกำหนดนโยบายต้องสร้างกรอบมาตรฐานที่ชัดเจน สนับสนุนการพัฒนาหลักสูตรที่เน้นกระบวนการคิดและทักษะชีวิต ควบคู่ไปกับการประเมินคุณภาพโรงเรียนในมิติความปลอดภัยทางกายและทางใจ ไม่ใช่เพียงผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปลอดภัย ส่งเสริมศักยภาพ และพัฒนาผู้เรียนให้พร้อมสำหรับชีวิตในโลกความจริง
"บทเรียนจากเหตุการณ์นี้ คือกระจกสะท้อนสังคมการศึกษาไทยที่ยังเน้น 'ผลลัพธ์' มากกว่า 'กระบวนการเรียนรู้' และละเลยการปลูกฝังทักษะชีวิตให้เยาวชน หากเรายังไม่เปลี่ยนแปลงทั้งในครอบครัว โรงเรียน และระบบนโยบาย เหตุการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นซ้ำ และบั่นทอนความปลอดภัย ความไว้วางใจ และความเป็นมนุษย์ในรั้วโรงเรียน" ผศ.ดร.พงษ์ภิญโญ กล่าว