หลังรัฐบาลอเมริกาภายใต้นโยบาย “ทรัมป์ 2.0” ประกาศอัตราภาษีนำเข้าที่จะเก็บจากสินค้าไทย 19% เท่ากับกัมพูชา โดยไทยรับปากจะนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลายรายการ ที่สำคัญไทยเสนออัตราภาษีนำเข้าเป็น 0% สมใจหวังของพญาอินทรีย์ไม่น้อย แต่กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางของไทย โดยเฉพาะการเปิดตลาดให้กับวัตถุดิบอาหารสัตว์หลักอย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลือง หากมองด้วยความรอบคอบถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น “นี่คือจุดเริ่มต้นในการปรับโครงสร้างการผลิต” เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผลิตภัณฑ์อาหารของไทยในอนาคต
อุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์และสมาคมปศุสัตว์หลายสมาคม พร้อมร่วมขับเคลื่อน (ร่าง) พระราชบัญญัติอากาศสะอาด ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2568 นี้ ด้วยแนวทางการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) อย่างเป็นระบบ และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลกเรื่อง “การผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน” โดยเฉพาะการไม่รับซื้อวัตถุดิบจากแหล่งที่มีการเผาป่า หรือบุกรุกพื้นที่ป่า ตลอดจนการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศที่ก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นพิษข้ามแดน
ปัจจุบันผู้ผลิตอาหารสัตว์ขนาดใหญ่ได้พัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบ โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำ และเป็นวัตถุดิบหลักที่เกี่ยวข้องกับการเผาหลังการเก็บเกี่ยว (เผาตอซัง) ด้วยการใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมและระบบ GPS ตรวจสอบการเผาแปลง สามารถระบุพื้นที่ปลูกได้อย่างแม่นยำและตรวจสอบได้ว่าไม่มีการเผาทั้งก่อนปลูกและหลังเก็บเกี่ยว
นอกจากนี้ ยังร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในการส่งเสริมให้เกษตรกรพัฒนาการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามหลักวิชาการภายใต้มาตรฐานสินค้าเกษตร (Good Agricultural Practice : GAP) รวมถึงการให้ความรู้แก่เกษตรกรในการใช้วิธีไถกลบแทนการเผาตอซัง เพื่อเพิ่มคุณภาพของดินในระยะยาว ช่วยลดปัญหาฝุ่นพิษและลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่การผลิตอาหาร
แม้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตอาหารสัตว์ แต่ตัวเลขผลผลิตทั้งหมดของประเทศยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ กล่าวคือ ประเทศไทยมีพื้นที่การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 6.7 ล้านไร่ ได้ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ประมาณ 5 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการใช้ในการผลิตอาหารสัตว์มีถึง 8.9 ล้านตัน ที่เหลือต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ระบบการตรวจสอบย้อนกลับภายในประเทศจำเป็นต้องดำเนินการร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ไม่ควรให้เป็นความรับผิดชอบของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดำเนินการเพียงฝ่ายเดียว และควรจัดทำระบบที่มีความสอดคล้องกันหรือมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นการสร้างเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark) เพื่อเปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานได้ดี เนื่องจากผู้ประกอบการยังไม่เคยมีระบบประเมินความเสี่ยงที่เหมาะสม
การประกาศนโยบายไม่รับซื้อข้าวโพดจากแหล่งที่มีการเผา ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของไทย ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลด PM2.5 แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในประเทศและผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารจากไทย ว่ามีมาตรฐานการผลิตที่ปลอดภัยและยั่งยืน
สำคัญที่สุด คือ การบังคับใช้ (ร่าง) พระราชบัญญัติอากาศสะอาดฉบับนี้ ต้องเป็นธรรมกับทุกฝ่ายในห่วงโซ่อุปทานทั้งเกษตรกร ผู้ค้าพืชไร่ ผู้ผลิตอาหารสัตว์ และผู้ผลิตอาหาร จึงจำเป็นที่กฎหมายต้องมีหลักการ แนวทางปฏิบัติ การประเมินความเสี่ยง บทลงโทษ กรรมการกำกับดูแลทั้งระดับจังหวัดและระดับประเทศ ตลอดจนบริบทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนี้ต้องมีความชัดเจน โปรงใส และตรวจสอบได้ ไม่ควรให้อำนาจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป หรือมีบทลงโทษที่ไม่สมเหตุผล จำเป็นต้องทบทวนจุดอ่อนของกฎหมายให้รอบคอบและรอบด้าน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้มีส่วนได้เสียกับกฎหมายนี้อย่างแท้จริง ให้จัดหาวัตถุดิบมีความรับผิดชอบ ตรวจสอบย้อนกลับได้ และส่งเสริมการผลิตที่ยั่งยืนตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
โดย : ไศลพงศ์ สุสลิลา นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อม