แพทย์ชี้ เวียนหัว-บ้านหมุน อย่าปล่อยไว้ อาจเป็นสัญญาณ "น้ำในหูไม่เท่ากัน"
GH News August 14, 2025 09:23 AM

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s disease) หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า โรคน้ำในหูผิดปกติ เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของความดันน้ำในหูชั้นใน (Endolymph) จนส่งผลต่อการได้ยิน ทำให้รู้สึกหูอื้อ การได้ยินน้อยลง หรือวิงเวียนศีรษะ ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในหูข้างเดียว และพบได้ในทุกเพศตั้งแต่วัย 30 ปีขึ้นไป

อาการแบบไหน เข้าข่ายน้ำในหูไม่เท่ากัน ?

น้ำในหูไม่เท่ากันมักเป็นอาการที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน สังเกตได้จากอาการดังนี้

  • เวียนศีรษะรุนแรง รู้สึกเหมือนบ้านหมุน
  • หูอื้อ รู้สึกเหมือนมีแรงดันในหู
  • การได้ยินเสียงลดลง
  • อาจคลื่นไส้ อาเจียน ร่างกายเสียการทรงตัว
  • อาจมีเสียงวิ้งหรือเสียงรบกวนในหู

สาเหตุของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

ปัจจุบันโรคน้ำในหูไม่เท่ากันยังไม่เป็นที่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่จากการศึกษาและสมมุติฐาน พบข้อบ่งชี้ว่าอาจมีสาเหตุ ดังนี้

  • โครงสร้างหูชั้นในผิดปกติแต่กำเนิด
  • โรคทางพันธุกรรม
  • โรคภูมิแพ้
  • โรคจากต่อมไร้ท่อ เช่น ไทรอยด์ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
  • การติดเชื้อไวรัส หูชั้นกลางอักเสบ
  • ความผิดปกติของเกลือแร่ในร่างกาย
  • อุบัติเหตุที่ศีรษะ

การรักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
โรคน้ำในหูไม่เท่ากันเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาดได้ มักรักษาตามอาการที่ตรวจพบ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดย

  • การใช้ยา เช่น ยาขับปัสสาวะ เพื่อลดปริมาณน้ำที่คั่งในหูชั้นใน ยาบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ แก้คลื่นไส้
  • ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยา แพทย์อาจใช้วิธีรักษาด้วยการฉีดยาผ่านเยื่อในหูชั้นกลาง หรือในกรณีที่อาการรุนแรงมาก อาจพิจารณาให้มีการผ่าตัด แต่เป็นส่วนน้อย

การป้องกันและควบคุมโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

เราสามารถควบคุมปัจจัยเสี่ยงของโรคได้ด้วยการดูแลตัวเอง ดังนี้

  • ลดเค็ม อาหารโซเดียมสูง
  • ลดกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ
  • ทำจิตใจให้แจ่มใส ควบคุมความเครียด
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • รีบมาพบแพทย์เมื่อเกิดอาการผิดปกติของร่างกาย

โรคน้ำในหูไม่เท่ากันถือเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่สามารถป้องกันและบรรเทาได้หากสังเกตอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ และมาพบแพทย์เฉพาะทาง จะช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำและการรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น หากคุณหรือคนรอบข้างมีอาการเหล่านี้ซ้ำ ๆ อย่าปล่อยให้เป็นแค่ “ความเวียนหัวที่ชินชา” เพราะบางครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายที่เราต้องฟังอย่างจริงจัง

บทความโดย : แพทย์หญิงณัฐชา อริยสังกัปป รพ.เวิลด์เมดิคอล
© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.