พริษฐ์ ซัด ระบบราชการมีปัญหาความซ้ำซ้อน 3 ด้าน “แยก-แย่ง-ย้าย” ชี้หากไม่เริ่มต้นปรับปรุงการจัดทำงบ ประเทศเสี่ยงจะไม่เหลืองบประมาณเพียงพอแก้ไขปัญหาสำคัญ
วันที่ 13 ส.ค.2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วาระ 2-3 เป็นวันแรก หลังจาก คณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 พิจารณาเสร็จแล้ว
เวลา 10.00 น. นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกมธ. สงวนความเห็น อภิปรายในมาตรา 4 ภาพรวมว่า ตนเข้าใจดีว่ารัฐบาลเริ่มจัดสรรงบประมาณปี 69 ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ
แต่ที่ไม่สามารถเข้าใจได้ คือการที่กมธ มีเสียงข้างมากจากรัฐบาลได้ทำน้อยเกินไป ในการจัดลำดับความสำคัญงบประมาณ ปี 69 เพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจที่จะตามมาจากทั้งข้อตกลงกับสหรัฐฯ และจากระเบียบโลกที่มีความไม่แน่นอน จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อปากท้องของประชาชนในทุกภาคส่วน
หากเทียบเมื่อ 5 ปีที่แล้วกมธ. ในปี 64 ได้มีการจัดงบใหม่ไปประมาณ 3.1 หมื่นกว่าล้านบาท เพื่อเตรียมต่อกรกับวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากโควิด แต่ในปี 69 กมธ. มีการจัดงบใหม่เพียง 8 พันกว่าล้านบาท เพื่อต่อกรกับวิกฤตเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจากกรณีภาษีตอบโต้ของสหรัฐ
สิ่งที่ประเทศเราขาดมากที่สุดคือประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณอย่างตรงจุดและคุ้มค่า ไม่ว่าจะเปิดไปในงบของกระทรวงไหนก็สามารถพบบางส่วนที่ปรับลดได้เพื่อไปโยกแก้ปัญหาให้กับประชาชน
นายพริษฐ์ กล่าวว่า ปัญหาเรื่องความซ้ำซ้อนในการจัดทำงบประมาณ แบ่งออกเป็น 3 ด้านคือ 1.แยกกันทำ หมายถึงความซ้ำซ้อนในระดับโครงการ คือการที่มีโครงการที่อาจจะเป็นประโยชน์และคาบเกี่ยวกับภารกิจของหลายหน่วยงาน แต่หน่วยงานต่างเลือกที่จะต่างคนต่างทำ มากกว่าการร่วมกันทำ
2.แย่งกันทำ หรือความซ้ำซ้อนในระดับของภารกิจ คือการที่หลายหน่วยงานอาจจะมีการขีดเส้นและจัดวางภารกิจที่แตกต่างกัน ไม่ซ้ำซ้อนกันอย่างชัดเจนแต่ในทางปฏิบัติเราเห็นว่ามีหลายหน่วยงานขยายภารกิจของตัวเองที่เสี่ยงจะไปซ้ำซ้อนกับภารกิจของหน่วยงานอื่น
และ 3.ย้ายออกไปทำ หรือความซ้ำซ้อนในระดับหน่วยงาน คือการที่มีหลายหน่วยงานที่ถูกตั้งขึ้นมาด้วยภารกิจที่เสี่ยงจะซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่แล้ว
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า การพิจารณาควบรวมหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งต้องศึกษากันอย่างละเอียดรอบคอบ เข้าใจว่าการควบรวมหน่วยงานแล้ว ไม่ได้หมายความว่า จำนวนงานและจำนวนคนจะลดลงเสมอไป
แต่เชื่อว่าหากเรามีการศึกษาและพิจารณาควบรวมหน่วยงานที่มีภารกิจที่เสี่ยงจะซ้ำซ้อนกันอย่างจริงจัง จะทำให้โครงการและกิจกรรมของรัฐนั้นมีความสะเปะสะปะน้อยลง และก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทรัพยากรมากขึ้น เราจะทำให้หน่วยงานของรัฐผลิตแผนขึ้นหิ้งน้อยลง และทำงานในทิศทางเดียวกันมากขึ้น
“หากเราไม่เริ่มต้นมาปรับปรุงเรื่องการจัดทำงบประมาณโดยการลดความซับซ้อนที่แทรกอยู่ในทุกระดับของระบบราชการ ประเทศเราเสี่ยงจะไม่เหลืองบประมาณเพียงพอในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประชาชน และเสี่ยงจะไม่มีความคล่องตัวมากพอในการรับมือกับวิกฤตและปัญหาใหม่ที่ถาถมเข้ามา”นายพริษฐ์ กล่าว