ตลาดชะลอตัว อสังหาฯ กระจายความเสี่ยง แห่ผุดโครงการจัดสรรจิ๋ว ลงทุนโรงแรม
วันที่ 13 สิงหาคม แหล่งข่าวจากวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีเทรนด์การพัฒนาโครงการจัดสรรจิ๋วเกิดขึ้นจำนวนมาก กระจายอยู่ในหลายทำเลย่านในเมือง เนื่องจากที่ดินมีราคาแพง ประกอบกับรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ)ผ่านการอนุมัติจากประชาชนรอบข้างยาก จึงทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถขึ้นโครงการคอนโดมิเนียมแบบสูงๆได้ ดังนั้นเมื่อผู้ประกอบการได้ที่ดินมาจึงมีการนำมาพัฒนาเป็นโครงการแนวราบรูปแบบแนวตั้งสูงมากกว่า 2 ชั้น มีจำนวนยูนิตไม่มากและระดับราคาตั้งแต่ไฮเอนด์ถึงระดับลักชัวรี่ โดยที่ผ่านมามีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งนอกตลาดและอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ได้พัฒนาโมเดลนี้กันมาก ซึ่งผลตอบรับก็ค่อนข้างดี สามารถปิดการขายได้เร็ว โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อ ต้องการมีบ้านอยู่กลางเมือง เดินทางสะดวก จึงยอมซื้อบ้านราคาหลาย 10 ล้านบาทไว้เพื่อการอยู่อาศัย
“จุดพลุตลาดเลยคือ โครงการบูก้าน พระราม9 ของแสนสิริ ราคาหลังละ 30-70 ล้านบาท ขายหมดเร็ว เลยทำให้ตลาดบูม จากนั้นมีดีเวลลอปเปอร์หลายราย พัฒนาอีกหลายโครงการในทำลต่างๆ ขนาดโครงการประมาณ 300-400 ล้านบาท เช่น ย่านลาดพร้าว พหลโยธิน อารีย์ ลูกค้าเป็นกลุ่มเฉพาะ เป็นนักธุรกิจที่ต้องการอยู่บ้านในเมือง ส่วนต่างจังหวัดที่บูมเป็นบ้านวิลล่า เช่น พัทยา ชลบุรี ภูเก็ต หัวหิน เป็นต้น เทรนด์เป็นการซื้อลงทุนปล่อยเช่า แต่ตอนนี้ตลาดเริ่มแผ่ว ด้วยภาวะเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนต่างๆ ทำให้คนชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านออกไปก่อน”แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีอีกเทรนด์คือ การปรับปรุงอาคารหรือคอนโดมิเนียมเป็นโรงแรม เพื่อกระจายความเสี่ยงในช่วงตลาดอสังหาฯชะลอตัว และรองรับภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวหลังโควิด แม้ปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามายังประเทศไทยมีจำนวนลดลงก็ตาม เพื่อสร้างรายได้รีเคอริ่งอินคัม ล่าสุดมีดีเวลเปอร์อสังหาฯ นำโครงการอพาร์ตเมนต์ในย่านแบริ่ง เป็นอาคารสูง 4 ชั้น จำนวน 4 อาคาร รวมทั้งหมด 170 ห้อง มาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นโรงแรมระดับ 2-3 ดาว ค่าห้อง 1,000-1,500 บาทต่อคืน ยังมีอีกหลายทำเล ล่าสุดมีซื้อโรงแรมขนาด 70-80 ห้องและร้านอาหารเก่าแก่ย่านปทุมธานี ปรับปรุงเป็นโรงแรม